ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญชั้นจัตวาอันดับพิเศษสังกัดกรมมหาดไทย เดิมเป็นเสมียนตราจังหวัดพิจิตรมาราว10 ปี มีหน้าที่รับเงินอากรการฆ่าสัตว์ที่อำเภอต่าง ๆ นำส่งแผนกมหาดไทยเพื่อนำฝากคลังตามระเบียบ ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2500 ทางราชการกำหนดให้เสมียนตราจังหวัดต้องเป็นข้าราชการชั้นตรี จำเลยจึงถูกลดตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเสมียนตราจังหวัดพิจิตร พ.ศ. 2502 ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรมีคำสั่งย้ายจำเลยไปดำรงตำแหน่งปลัดอำเภอตรีประจำอำเภอเมืองพิจิตรเพื่อว่าเมื่อครบ 4 ปี จำเลยก็จะได้มีโอกาสเลื่อนเป็นข้าราชการชั้นตรีโดยไม่ต้องสอบ พร้อมกันนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดก็ได้สั่งให้จำเลยคงทำงานเป็นผู้ช่วยเสมียนตราจังหวัดอยู่ ณ ที่เก่านั้นเอง มีหน้าที่รับฝากเงินดังกล่าว จำเลยรับเงินประเภทอากรการฆ่าสัตว์ขององค์การบริหารราชการส่วนจังหวัดพิจิตรซึ่งอำเภอต่าง ๆ นำส่งรวมหลายคราวเป็นเงินทั้งสิ้น 42,283 บาทแต่จำเลยนำเงินไปหมุนหาผลประโยชน์เป็นส่วนตัว หาได้นำฝากคลังไม่
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 3
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาที่ว่าตามกฎหมายจะถือว่าจำเลยมีตำแหน่งหน้าที่เป็นผู้ช่วยเสมียนตราจังหวัดหรือไม่ โดยเห็นว่าแม้จำเลยจะได้รับแต่งตั้งเป็นปลัดอำเภอตรีอำเภอเมืองพิจิตร แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดได้มีคำสั่งให้จำเลยปฏิบัติราชการในหน้าที่ผู้ช่วยเสมียนตราไปก่อน ตำแหน่งผู้ช่วยเสมียนตรานี้มิได้มีกฎหมายกำหนดอำนาจหน้าที่ไว้โดยเฉพาะแต่งอย่างใดจึงเป็นราชการทั่วไปซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะที่เป็นหัวหน้าบังคับบัญชาบรรดาข้าราชการฝ่ายบริหารส่วนภูมิภาคในเขตจังหวัดและรับผิดชอบในราชการของจังหวัดและอำเภอตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2495 มาตรา 34 (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2499มาตรา 10 ย่อมมีอำนาจสั่งให้จำเลยไปปฏิบัติหน้าที่ราชการดังกล่าวแล้วได้
พิพากษายืน