โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยนำเจ้าพนักงานรังวัดล่วงล้ำทับที่ของโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ และสั่งห้ามจำเลยและบริวารกับขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายด้วย
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยและตัดฟ้องว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์เสร็จและสืบพยานจำเลยได้ ๓ ปาก คู่ความท้ายและรับกันว่า
๑.โจทก์รับว่าที่พิพาทเป็นที่มือเปล่าไม่มีหนังสือสำคัญ
๒.โจทก์รับว่าจำเลยเข้าแย่งการครอบครองที่พิพาทมา ๒-๓ ปีแล้ว จำเลยก็รับว่าโจทก์แย่งการครอบครองที่พิพาทมา ๒-๓ ปีแล้ว
๓. โจทก์จำเลยขอให้ศาลวินิจฉัยข้อเดียวว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจให้วินิจฉัยคำพยานที่โจทก์จำเลยนำสืบมาแล้ว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ทุกขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ วรรค ๒ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามคำท้าไม่ได้รับในข้อเท็จจริงว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายครอบครอง ข้อเท็จจริงยังโต้เถียงกัน ไม่สามารถชี้ขาดว่าขาดสิทธิฟ้องร้องหรือไม่ คำท้าไร้ผล พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่
โจทก์จำเลยต่างฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๗๕ คำรับและคำท้าข้อ ๑.คู่ความมิได้รับกันว่าฝ่ายใดมีสิทธิครอบครองที่พิพาทมาก่อนในข้อ ๒. ฟังเป็นยุติไม่ได้ว่าโจทก์จำเลยต่างแย่งการครอบครองที่พิพาทกันไปมาตลอดเวลา ๒-๓ ปี หรือว่าก่อนฟ้องคดีฝ่ายใดแย่งการครอบครองเป็นของตนเกินกว่า ๑ ปี คำรับดังกล่าวยังไม่อาจวินิจฉัยลงไปได้เด็ดขาดว่าฟ้องของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ อย่างไรก็ดี ในคำท้าข้อ ๓.ทั้งสองฝ่ายว่าไม่ติดใจให้วินิจฉัยคำพยานที่โจทก์จำเลยนำสืบมาแล้ว และคู่ความไม่สืบพยานต่อไป ศาลฎีกาเห็นว่าตามฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลย เป็นหน้าที่โจทก์ต้องนำสืบว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ และเมื่อโจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงและท้ากัรให้ศาลวินิจฉัยแต่เฉพาะฟ้องขาดอายุความหรือไม่เท่านั้น ผลของคำท้าตกเป็นหน้าที่ของโจทก์จะแสดงว่าฟ้องของโจทก์ไม่ขาดอายุความ เมื่อโจทก์ตกลงกับจำเลยไม่ติดใจให้วินิจฉัยคำพยานหลักฐานนำสืบกันแล้ว ทั้งต่างไม่สืบพยานต่อไป ก็เท่ากับโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบ โจทก์ต้องแพ้คดี พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาชั้นต้น