โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับราชการกรมที่ดิน ทำหน้าที่เจ้าพนักงานที่ดินได้รับจดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3997 ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยฝ่ายผู้ขายได้นำสำเนาภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจของเจ้าของที่ดินมาแสดง ในช่องผู้มอบอำนาจเป็นตัวพิมพ์ไม่มีลายมือชื่อของเจ้าของที่ดิน ทั้งนี้ จำเลยไม่เรียกต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจมาตรวจสอบ และมิได้ตรวจสอบลายมือผู้ขายว่าเป็นของเจ้าของที่ดินถูกต้องแท้จริงหรือไม่ อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับและฝ่าฝืนกฎหมาย และทำให้โจทก์ในฐานะผู้เช่าที่ดินต้องได้รับความเสียหาย เนื่องจากผู้ซื้อได้นำสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวมาฟ้องขับไล่โจทก์และศาลพิพากษาให้ขับไล่โจทก์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ศาลชั้นต้นงดไต่สวนมูลฟ้องแล้ววินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า โจทก์อยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหายอันจะทำให้เกิดสิทธิฟ้องจำเลยได้หรือไม่ พิจารณาตามคำฟ้องที่โจทก์บรรยายมาแล้ว มูลกรณีที่โจทก์อ้างเป็นเหตุฟ้องจำเลยในคดีนี้ เนื่องจากจำเลยในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ได้รับจดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3997 แขวงบางรัก เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร โดยที่มิได้ตรวจสอบหนังสือมอบอำนาจของผู้ขายให้ถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับของทางราชการที่กำหนดไว้เสียก่อน ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าที่ดินอยู่ในที่แปลงนี้ได้รับความเสียหาย เพราะถูกผู้ซื้อฟ้องขับไล่ จนศาลแพ่งมีคำพิพากษาขับไล่โจทก์ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้ความจริงจะเป็นดังที่โจทก์ฟ้องโจทก์ก็มิใช่ผู้เสียหายเพราะผลที่โจทก์ได้รับตามคำพิพากษาของศาลนั้นมิใช่เป็นผลที่เกิดจากการกระทำของจำเลย แต่เป็นเพราะโจทก์หมดสิทธิที่จะอยู่ในที่ดินแปลงนี้ต่อไปต่างหาก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง การที่โจทก์จะอยู่ในที่แปลงนี้ต่อไปได้หรือไม่นั้นย่อมขึ้นอยู่กับสิทธิตามสัญญาเช่าของโจทก์เอง หาใช่ขึ้นอยู่กับตัวผู้ทรงกรรมสิทธิ์ในที่ดินว่าจะเป็นผู้ใดไม่
พิพากษายืน