โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 137, 172, 174, 181 บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2357/2557 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษจำคุกในคดีนี้
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 174 วรรคสอง, 181 (2) จำคุก 5 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน บวกโทษจำคุก 3 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2357/2557 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษในคดีนี้ เป็นจำคุก 3 ปี 7 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 (เดิม) ลงโทษจำคุก 6 เดือน ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 เดือน และให้นำโทษจำคุก 3 เดือน ที่ศาลรอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2357/2557 ของศาลชั้นต้น มาบวกเข้ากับโทษจำคุกคดีนี้ รวมจำคุก 7 เดือน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในชั้นฎีกาว่า เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2557 เวลากลางคืนหลังเที่ยง มีเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงนางวิจิตรา จนถึงแก่ความตาย ต่อมาวันที่ 28 สิงหาคม 2558 จำเลยให้การต่อร้อยตำรวจเอกสุธรรม พนักงานสอบสวน โดยมีรายละเอียดว่า วันที่ 12 กันยายน 2558 นายโสภณหรือเบียร์ จำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1156/2559 หมายเลขแดงที่ 3865/2559 ของศาลชั้นต้น โทรศัพท์มายืมอาวุธปืนที่ขายให้กับจำเลยเนื่องจากนายโสภณมีเรื่อง จำเลยตกลงให้ยืมและนำอาวุธปืนไปให้ที่บริเวณเลยจากร้านทเวลฟ์ไปซึ่งเป็นที่มืดเพื่อป้องกันไม่ให้คนเห็น จากนั้นจำเลยกับนายอิทธิพัทธ์หรือปังปอนด์ ขับและซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปส่งมอบอาวุธปืนให้กับนายโสภณที่จุดนัดหมาย นายโสภณใช้รถกระบะเป็นยานพาหนะกระจกรถดำทึบ ไม่สามารถมองเห็นคนในรถ แต่นายโสภณลดกระจกลง จึงสามารถพอเห็นหน้าได้ แล้วนายปังปอนด์ส่งมอบอาวุธปืนให้นายโสภณ แต่ต่อมาจำเลยกลับเบิกความต่อศาลในคดีดังกล่าวว่า เมื่อคนขับรถกระบะลดกระจกทางขวาลงแล้ว จำเลยยื่นอาวุธปืนเข้าไปในรถโดยจำเลยไม่เห็นหน้าคนขับรถคันดังกล่าว จำเลยไม่เคยให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าเห็นนายโสภณลดกระจกลงทางด้านขวาแล้วนายปังปอนด์ส่งอาวุธปืนให้นายโสภณ จำเลยเบิกความว่าคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นความเท็จ ศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาจำเลยถูกดำเนินคดีและถูกฟ้องเป็นคดีนี้ในความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน แจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนเป็นการเพื่อจะแกล้งให้บุคคลใดต้องรับโทษในการกระทำในกรณีแห่งข้อหาว่าผู้ใดกระทำความผิดที่มีระวางโทษถึงประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 172, 174 วรรคสอง, 181 (2) ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยกระทำความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 โจทก์ฎีกาฝ่ายเดียวโดยจำเลยไม่ฎีกา
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวน เป็นการเพื่อจะแกล้งให้บุคคลใดต้องรับโทษในการกระทำในกรณีแห่งข้อหาว่าผู้ใดกระทำความผิดที่มีระวางโทษถึงประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 174 วรรคสอง, 181 (2) ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติแล้วว่าจำเลยได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อร้อยตำรวจเอกสุธรรม เจ้าพนักงาน เมื่อร้อยตำรวจเอกสุธรรมเป็นพนักงานสอบสวนผู้มีอำนาจสอบสวนและสืบสวนในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน กรณีจึงเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนและเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา การกระทำของจำเลยจึงต้องด้วยบทบัญญัติที่เป็นความผิดไว้โดยเฉพาะคือประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 137 ซึ่งเป็นบทบัญญัติทั่วไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่อย่างไรก็ตาม จากทางนำสืบโจทก์ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเพื่อเจตนาจะแกล้งให้นายโสภณต้องรับโทษทางอาญา การแจ้งข้อความอันเป็นเท็จของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นเพียงความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 เท่านั้น ไม่เป็นความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนเพื่อจะแกล้งให้บุคคลใดต้องรับโทษในความผิดที่มีระวางโทษจำคุกถึงประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ตามมาตรา 174 วรรคสอง และ 181 (2) ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 (เดิม) จำคุก 1 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือน ให้นำโทษจำคุก 3 เดือน ที่ศาลรอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2357/2557 ของศาลชั้นต้นมาบวกเข้ากับโทษจำคุกคดีนี้ รวมจำคุก 11 เดือน