โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ชำระดอกเบี้ยและค่าสิทธิในการใช้กรรมวิธีผลิตให้บริษัทในต่างประเทศทุกปี เงินนี้เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ (๓) (๔) (ก) ซึ่งโจทก์ได้ชำระภาษีเงินได้แทนบริษัทต่างประเทศแล้ว แต่เจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้ของจำเลยเห็นว่า ภาษีเงินได้ที่โจทก์ออกแทนดังกล่าวเป็นเงินได้พึงประเมินที่บริษัทต่างประเทศจะต้องเสียภาษีตามมาตรา ๗๐ (๒) จึงมีคำสั่งให้โจทก์ชำระภาษีเพิ่ม โจทก์เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงได้อุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีมติไม่รับอุทธรณ์และส่งเรื่องให้จำเลยพิจารณา จำเลยเห็นว่าคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินชอบแล้วให้โจทก์นำเงินภาษีไปชำระ โจทก์ได้รับความเสียหายจึงขอให้ศาลพิพากษายกเลิกคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินและของจำเลยดังกล่าว
จำเลยให้การว่าคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินและคำสั่งของจำเลยที่ให้โจทก์นำเงินภาษีไปชำระเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกเลิกคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินและคำสั่งของจำเลยตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาว่าเงินจำนวน ๑๘,๐๙๖,๖๘๙.๗๒ บาท ที่โจทก์ชำระเป็นค่าภาษีเงินได้แทนบริษัทในต่างประเทศนั้น เป็นเงินได้พึงประเมินของบริษัทในต่างประเทศตามมาตรา ๔๐ (๓) และ (๔) (ก) หรือไม่ และการที่โจทก์จ่ายเงินค่าสิทธิในกรรมวิธีผลิตและดอกเบี้ยเงินกู้ยืมให้บริษัทในต่างประเทศไปเต็มจำนวน ๗๔,๗๔๗,๕๖๗.๘๔ บาท โดยมิได้หักค่าภาษีเงินได้จำนวน ๑๘,๐๙๖,๖๘๙.๗๒ บาทไว้ ซึ่งหากโจทก์หักค่าภาษีเงินได้จำนวนดังกล่าวออก บริษัทในต่างประเทศจะได้รับเงินค่าสิทธิและดอกเบี้ยไปเพียง ๕๖,๖๕๐,๘๗๘.๑๒ บาท จะถือว่าบริษัทในต่างประเทศได้รับเงินเกินไป ๑๘,๐๙๖,๖๘๙.๗๒ บาท อันเป็นส่วนหนึ่งของเงินค่าสิทธิและดอกเบี้ย ซึ่งโจทก์จะต้องรับผิดชำระค่าภาษีเงินได้ร่วมกับบริษัทในต่างประเทศหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว ประมวลรัษฎากร มาตรา ๓๙ บัญญัติว่า " ในหมวดนี้ เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น
" เงินได้พึงประเมิน " หมายความว่า เงินได้อันเข้าลักษณะพึงเสียภาษีในหมวดนี้ เงินได้ที่กล่าวนี้ให้หมายความรวมตลอดถึงทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับ ซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน ฯลฯ "
มาตรา ๔๐ บัญญัติว่า " เงินได้พึงประเมินนั้นคือเงินได้ประเภทต่อไปนี้
(๑) เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส เบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ เงินค่าเช่าบ้าน เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่นายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า เงินที่นายจ้างออกให้เป็นค่าภาษีเงินได้หรือภาษีอากรอื่น ฯลฯ
(๒) เงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ หรือจากการรับทำงานให้ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า ค่าส่วนลด เงินอุดหนุนในงานที่ทำ เบี้ยประชุม บำเหน็จ โบนัส เงินค่าเช่าบ้าน เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่ผู้จ่ายเงินได้ให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า เงินที่ผู้จ่ายเงินได้ออกให้เป็นค่า
ภาษีเงินได้หรือภาษีอากรอื่น ฯลฯ
(๓) ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์หรือสิทธิอย่างอื่น เงินปีหรือเงินได้มีลักษณะเป็นเงินรายปีอันได้มาจากพินัยกรรม นิติกรรมอย่างอื่นหรือคำพิพากษาของศาล
(๔) เงินได้ที่เป็น
(ก) ดอกเบี้ยจากพันธบัตร หุ้นกู้ เงินกู้ยืม จำนำ จำนอง หรือเงินฝาก"
่ตามบทบัญญัติมาตรา ๔๐ (๓) และ (๔)(ก) ดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่าเฉพาะเงินค่าสิทธิในกรรมวิธีผลิต และดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเท่านั้นที่กฎหมายบัญญัติว่าเป็นเงินได้พึงประเมิน ไม่ได้บัญญัติรวมถึงภาษีเงินได้ของเงินค่าสิทธิและดอกเบี้ยที่ผู้จ่ายเงินออกชำระแทนให้ผู้มีเงินได้อันจะถือว่าเป็นเงินได้พึงประเมิน เช่นที่บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งในมาตรา ๔๐ (๑) ว่าเงินที่นายจ้างออกให้เป็นค่าภาษีเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานและมาตรา ๔๐ (๒) ว่าเงินที่ผู้จ่ายเงินได้ออกให้เป็นค่าภาษีเงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงาน หรืองานที่รับทำให้เป็นเงินได้พึงประเมิน ฉะนั้น เงิน ๑๘,๐๙๖,๖๘๙.๗๒ บาท ที่โจทก์ชำระเป็นค่าภาษีเงินได้แทนบริษัทในต่างประเทศนั้น จึงไม่ใช่เงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ (๓) และ (๔)(ก) ส่วนข้อที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ได้จ่ายเงินค่าสิทธิในกรรมวิธีผลิตและดอกเบี้ยเงินกู้ยืมให้บริษัทต่างประเทศไปเต็มจำนวน ๗๔,๗๔๗,๕๖๗.๘๔ บาท โดยมิได้หักค่าภาษีเงินได้จำนวน ๑๘,๐๙๖,๖๘๙.๗๒ บาทไว้ หากโจทก์หักภาษีเงินได้จำนวนดังกล่าวออกบริษัทในต่างประเทศจะได้รับเงินค่าสิทธิและดอกเบี้ยไปเพียง ๕๖,๖๕๐,๘๗๘.๑๒ บาท แต่โจทก์ได้ชำระภาษีเงินได้แทน เป็นเหตุให้บริษัทในต่างประเทศได้รับเงินค่าสิทธิและดอกเบี้ยเกินไปเท่ากับจำนวนภาษีเงินได้ที่โจทก์ชำระแทนเป็นเงิน ๑๘,๐๙๖,๖๘๙.๗๒ บาท เงินจำนวนนี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเงินค่าสิทธิและดอกเบี้ย ซึ่งโจทก์ผู้จ่ายเงินจะต้องรับผิดร่วมกับบริษัทในต่างประเทศชำระภาษีเงินได้นั้น เห็นว่าข้ออ้างของจำเลยรับฟังไม่ได้เพราะโจทก์ได้ชำระภาษีเงินได้ของเงินค่าสิทธิและดอกเบี้ยจำนวน ๗๔,๗๔๗,๕๖๗.๘๔ บาท เป็นเงิน ๑๘,๐๙๖,๖๘๙.๗๒ บาท เต็มจำนวนภาษีเงินได้ที่ต้องชำระแล้ว หาใช่ชำระภาษีเงินได้ของเงินค่าสิทธิและดอกเบี้ยจำนวน ๕๖,๖๕๐,๘๗๘.๑๒ บาทไม่ หากให้โจทก์ต้องรับผิดชำระภาษีเงินได้อีกก็เป็นการชำระภาษีซ้ำซ้อน แม้ในกรณีนี้สมมุติว่าโจทก์มิได้หักและนำส่งเงินภาษีเงินได้ทั้งมิได้ชำระภาษีเงินได้แทน โจทก์ก็คงต้องรับผิดร่วมกับบริษัทในต่างประเทศ ชำระภาษีเงินได้เท่าจำนวนที่มิได้หักและนำส่งดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๕๔ วรรคแรก แห่งประมวลรัษฎากรกับเสียเงินเพิ่มเท่านั้น สรุปแล้วโจทก์ไม่ต้องรับผิดชำระภาษีเงินได้และเงินเพิ่มตามคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมิน คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.