คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินของโจทก์อยู่ติดกับที่ดินของจำเลยที่ ๑ ซึ่งที่ดินแปลงนั้นเดิมเป็นของนายบัวมาก่อน นายบัวขายให้คนอื่น และจำเลยที่ ๑ เพิ่งซื้อจากคนอื่นเมื่อ ๒ ปีมานี้เองจำเลยที่ ๒ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๓ มีที่ดินอยู่ใกล้เคียงกับจำเลยที่ ๑ โจทก์ทั้งสามและผู้อื่นได้ใช้ทางสำหรับกระบือเดินเข้าออกจากที่ดินของโจทก์เข้าไปในที่ดินของจำเลยที่ ๑ทางกว้าง ๑ วา ยาวประมาณ ๕ เส้น ออกสู่ถนนอุทัย - มโนรมย์ เพื่อใช้ในการทำนาในที่นาของโจทก์และผู้อื่นติดต่อกันมาจนบัดนี้เป็นเวลา ๔๐ ปีแล้ว ทางสายนี้จึงเป็นภารจำยอมตามกฎหมาย เมื่อเดือน ๖-๗ปีนี้ จำเลยที่ ๑ ได้ใช้ให้จำเลยที่ ๒ ปิดกั้นทางดังกล่าวส่วนจำเลยที่ ๓ ได้ขยายแนวรั้วเข้าไปในทาง เป็นเหตุให้โจทก์และผู้อื่นนำกระบือเข้าออกไม่ได้ดังแต่ก่อน จึงขอให้บังคับจำเลยที่ ๑เปิดทางภารจำยอมดังกล่าว และให้จำเลยที่ ๓ ร่นแนวเขตรั้วออกจากทาง
จำเลยที่ ๑, ๒ ให้การว่า ที่ดินของจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๓มีเขตติดต่อกัน แต่ไม่มีทางภารจำยอม ที่ดินแปลงนี้จำเลยที่ ๑กับพวกอีก ๒ คนได้ซื้อจากนางสุภรณ์เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๐๕นางสุภรณ์และจำเลยที่ ๓ ซื้อมาจากนายบัว แม่นศร และนายบัวมิได้สงวนสิทธิใด ๆ ในการเดินเข้าออกเกี่ยวกับที่ดินนี้เลย จำเลยที่ ๒ได้เช่าที่ดินแปลงนี้จากจำเลยที่ ๑ กับพวก จำเลยที่ ๒ มิได้ปิดทาง และโจทก์มีทางเข้าออกทางอื่นโจทก์เป็นลูกหลานนายบัวแม่นศร ทั้งสิ้น คดีของโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า คดีฟังไม่ได้ว่า ทางเส้นนี้เป็นทางภารจำยอม พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ว่า โจทก์ได้ใช้เส้นทางที่พิพาทในที่ดินของจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ตลอดมาในฤดูทำนา โจทก์ได้ย้ายบ้านไปอยู่ทางทิศตะวันตกเป็นเวลา ๑๔ ปีแล้ว โจทก์และคนอื่นใช้ทางพิพาทเกินกว่า ๑๐ ปี ทางนี้จึงตกเป็นภารจำยอม
ศาลอุทธรณ์เชื่อว่า โจทก์กับพวกได้ใช้ทางพิพาทเป็นเวลากว่า ๑๐ ปีแล้ว ทางพิพาทจึงตกเป็นทางภารจำยอม แต่คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๓ ได้ขยายแนวรั้วล้ำทางพิพาท พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ ๑เปิดทางพิพาท
จำเลยที่ ๑, ๒ ฎีกาว่า การที่จำเลยปิดกั้นทางพิพาทถือเป็นละเมิดโจทก์ไม่ฟ้องใน ๑ ปี คดีขาดอายุความ อายุความได้สิทธิภารจำยอมจะเริ่มนับตั้งแต่วันที่นายบัว แม่นศร ขายให้นางสุภรณ์แต่นางสุภรณ์ซื้อที่ดินแปลงนี้ยังไม่ถึง ๑๐ ปี ทางพิพาทจึงยังไม่เป็นทางภารจำยอม
โจทก์ไม่ฎีกาเกี่ยวกับที่ดินจำเลยที่ ๓ คงมีปัญหาเฉพาะที่ดินของจำเลยที่ ๑ ว่ามีทางภารจำยอมหรือไม่
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่ามีทางพิพาทอยู่ในที่ดินจำเลยที่ ๑ เป็นทางใช้เดินเข้าออกสู่ถนนสายอุทัย - มโนรมย์ สำหรับโจทก์กับพวกตอนที่ย้ายเรือนเข้าไปปลูกในที่ดินทางทิศตะวันตกของที่ดินจำเลยที่ ๑
ศาลฎีกาเชื่อว่า เดิมที่ดินของจำเลยที่ ๑ เป็นของนายบัวแม่นศร ต่อมานายบัวได้ขายให้แก่นางสุภรณ์ อุทโยภาส แล้วนางสุภรณ์ได้ให้พวกโจทก์ทำนาอาศัยในที่ดินแปลงนี้ตลอดมาจนขายให้แก่จำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๐๕ ดังนั้น แม้โจทก์จะได้ปลูกเรือนอาศัยในที่ดินซึ่งอยู่ข้างในก็ตาม แต่โจทก์ก็เพียงครอบครองแทนนางสุภรณ์เจ้าของที่ดิน จึงเรียกไม่ได้ว่า โจทก์ครอบครองใช้ทางพิพาทอย่างเป็นเจ้าของ อายุความได้สิทธิของโจทก์จะเกิดขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ ได้จะต้องเป็นการครอบครองโดยสงบและเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเมื่อการใช้ทางพิพาทของโจทก์ขาดเจตนาเป็นเจ้าของแล้วจึงมิใช่เป็นการครอบครองปรปักษ์ อายุความได้สิทธิในทางภารจำยอมของโจทก์จึงยังไม่เกิดขึ้นในระยะที่นางสุภรณ์เป็นเจ้าของ ไม่จำต้องวินิจฉัยว่า นางสุภรณ์ซื้อที่ดินแปลงนี้จากนายบัวเกินกว่า ๑๐ ปีแล้วหรือไม่
อายุความได้สิทธิภารจำยอมของโจทก์จะเริ่มต้นนับตั้งแต่นางสุภรณ์ขายที่ดินแปลงนี้ให้แก่จำเลยที่ ๑ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕แต่ทางพิจารณาได้ความว่าเมื่อจำเลยที่ ๑ ซื้อที่ดินแล้วได้ปิดกั้นทางพิพาททันที ทางพิพาทนี้จึงไม่เป็นภารจำยอมเพราะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๐๑, ๑๓๘๒ กำหนดไว้ ๑๐ ปี
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น