โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) เลขที่ (61) 59 ตำบลโคกสูง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เป็นทรัพย์มรดกของนายเทศ ตกได้แก่โจทก์จำเลยที่ 1 และทายาทคนอื่นคนละส่วนเท่าๆ กัน เมื่อปลายปี 2513 หลังจากนายเทศถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 ซึ่งได้รับมอบหมายจากโจทก์และทายาทอื่นได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) สำหรับที่ดินดังกล่าวต่อมาจำเลยทั้งสี่ได้สมคบกันฉ้อฉลโจทก์ โดยเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2515 จำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 59 ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกดังกล่าวไปจดทะเบียนแบ่งโอนให้จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา ขอให้จำเลยทั้งสี่นำที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 59 และ 619 แบ่งให้โจทก์หนึ่งในหกส่วนของที่ดินแต่ละแปลงดังกล่าว หากไม่สามารถแบ่งได้ให้นำไปประมูลหรือขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาแบ่งปันแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ในการทำนองเดียวกันว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 รับโอนที่ดินดังกล่าวโดยสุจริต โจทก์ก็ทราบดีไม่เคยโต้แย้งหรือคัดค้านแต่อย่างใดและหากฟังว่าที่ดินดังกล่าวเป็นทรัพย์มรดกของนายเทศ ฟ้องโจทก์ก็ขาดอายุความเพราะมิได้ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนด 1 ปี หรือ 10 ปี นับแต่นายเทศเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตาย นายวนิชย์ ทายาทของจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันแบ่งที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 59 และ 619 ให้แก่โจทก์หนึ่งในหกส่วนของแต่ละแปลง หากไม่สามารถแบ่งได้ให้นำที่ดินดังกล่าวออกประมูลกันเอง หากประมูลไม่ได้ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินที่ได้มาแบ่งให้โจทก์หนึ่งในหกส่วน
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า นายเทศ เจ้ามรดกเป็นบุตรของนายเกิดและนางช่วย มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันคือ นางบุญ นายหลุย และนายเขียว โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นบุตรของนายเทศ จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นบุตรของนายเขียว ส่วนจำเลยที่ 4 เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 ที่ดินพิพาทเดิมมีหลักฐาน สค. 1 เลขที่ (61) 59 ตำบลโคกสูง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ประมาณ 22 ไร่ 3 งาน 80 ตารางวา เป็นของนายเกิดและนางช่วย หลังจากนายเกิดและนางช่วยถึงแก่ความตาย นายเทศได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ต่อมาปี 2513 นายเทศถึงแก่ความตายที่ดินพิพาทตกเป็นมรดกของนายเทศจำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินพิพาทไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) ได้เนื้อที่เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 31 ไร่ 1 งาน 65 ตารางวา ต่อมาวันที่ 5 มิถุนายน 2515 จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาทโอนให้แก่นางแก้ว ซึ่งเป็นบุตรของนางบุญพี่สาวของนายเทศ เนื้อที่ 15 ไร่ 1 งาน 79 ตารางวา และในวันเดียวกันจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรของนายเขียวพี่ชายนายเทศ เนื้อที่ 7 ไร่ 2 งาน 16 ตารางวา ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้จดทะเบียนนิติกรรมใส่ชื่อจำเลยที่ 3 ให้มีสิทธิครอบครองร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วย ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 219 สำหรับที่ดินพิพาทส่วนที่เหลือเนื้อที่ 8 ไร่ 90 ตารางวา ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 59 จำเลยที่ 1 ได้ จดทะเบียนโดยให้จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นบุตรสาว คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ครอบครองที่พิพาทแทนทายาทอื่นและฟ้องโจทก์ขาดอายุความมรดกหรือไม่ จำเลยที่ 1 อ้างว่านายเทศซึ่งเป็นบิดาของจำเลยที่ 1 และโจทก์ได้ยกที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 เข้าทำนาในที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2510 ซึ่งขณะนั้นนายเทศยังมีชีวิตอยู่ และหลังจากนายเทศถึงแก่ความตายแล้วจำเลยที่ 1 ก็เข้าทำนาในที่ดินพิพาทเรื่อยมา อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ก่อนนายเทศถึงแก่ความตาย และหลังจากนายเทศถึงแก่ความตายแล้วก็ได้ครอบครองตลอดมา แต่จำเลยที่ 1 ก็ตอบคำถามค้านของทนายโจทก์ว่าก่อนออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์โจทก์ก็ได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทด้วย แต่หลังจากออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้ว โจทก์ก็ไม่ได้เข้าไปอีกซึ่งการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทำหลังจากนายเทศถึงแก่ความตายแล้ว อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าหลังจากนายเทศถึงแก่ความตายแล้ว โจทก์ก็ยังเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย แม้จะได้ความต่อมาว่า หลังจากที่จำเลยที่ 1 ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่พิพาทแล้วโจทก์ไม่ได้เข้าทำนาในที่ดินพิพาทอีก มีเพียงแต่จำเลยที่ 1 เท่านั้นที่เป็นผู้ครอบครองทำนาในที่ดินพิพาท ซึ่งในขณะที่จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นชื่อของจำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียวนั้น นายเจริญ พี่น้องร่วมบิดามารดาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำคัดค้านการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวตามเอกสารหมาย จ.5 และต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำคัดค้านการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวตามเอกสารหมาย จ.5 และต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ทำบันทึกถ้อยคำต่อนายอำเภอเมืองนครราชสีมา มีข้อความว่าจำเลยที่ 1 จะแบ่งที่ดินพิพาทออกเป็น 6 ส่วน และจะแบ่งให้นายเจริญและพี่น้องทุกคน คนละส่วนเท่ากัน บันทึกดังกล่าวกระทำต่อหน้านายอำเภอเมืองนครราชสีมาเป็นการแสดงอย่างชัดเจนว่า จำเลยที่ 1 ตกลงยอมแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่ทายาทของนายเทศทุกคนซึ่งรวมทั้งโจทก์และนายเจริญด้วย อันเป็นการยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนายเทศจำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองไว้แทนทายาทคนอื่นโดยจำเลยที่ 1 ตกลงว่าจะจัดแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทอื่นทุกคนตามส่วนที่ตนมี ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าก่อนนายเทศถึงแก่ความตายนายเทศสั่งให้แบ่งที่ดินพิพาทเป็นสี่ส่วนให้แก่ญาติพี่น้องที่บ้านโคกสูงจึงเป็นเพียงข้อกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ดังนั้น หลังจากที่นายเทศเจ้ามรดกถึงแก่ความตายแล้วแม้จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา แต่ก็เห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์และทายาทอื่นของนายเทศ แม้จำเลยที่ 1 จะครอบครองที่ดินพิพาทมานานเพียงใด เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้แสดงเจตนาต่อโจทก์ชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตน จำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท โจทก์ในฐานะทายาทโดยธรรมของนายเทศคนหนึ่งย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกทรัพย์มรดกของนายเทศในส่วนของตนได้ ฟ้องโจทก์หาขาดอายุความไม่ ส่วนจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนายเทศ การที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 โดยไม่มีค่าตอบแทนเป็นทางเสียเปรียบแก่โจทก์ผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน ย่อมขอให้เพิกถอนการโอนเฉพาะส่วนของตนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 โจทก์จึงมีสิทธิขอให้แบ่งที่ดินหนึ่งในหกส่วนจากที่ดินพิพาททั้งสองแปลง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน