โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๔
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๔ จำคุก ๑ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษาแก้เป็นว่า จำคุกจำเลย ๘ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ โจทก์ได้จดทะเบียนจำนองที่ดิน ๒ แปลง ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์พิพาท (น.ส. ๓ ก.) ไว้ต่อธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสกลนคร จำนวนเงิน ๗๖๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่มีต่อธนาคารดังกล่าว ต่อมาวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๓๗ จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารเดียวกันจำนวนเงิน ๘๐๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์เพื่อนำไปเบิกเงินและไถ่ถอนจำนองที่ดินทั้งสองแปลงนั้น แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยอ้างเหตุ "โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย" เพราะจำเลยไม่มีเงินในบัญชีพอจ่าย หลังจากนั้นโจทก์ได้ถูกธนาคารดังกล่าวฟ้องบังคับจำนอง คดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาให้โจทก์แพ้คดี และคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาโดยโจทก์ฎีกาฝ่ายเดียว ขอให้ศาลฎีกาพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้น แต่จากข้อเท็จจริงข้างต้น ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นปรับกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏเสียก่อน โดยเห็นว่า ขณะที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาท โจทก์ยังมิได้ถูกธนาคารซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยฟ้องบังคับจำนองเอาแก่ที่ดินทั้งสองแปลงหรือโจทก์ได้ชำระหนี้จำนองให้แก่ธนาคารแล้ว ณ ขณะนั้นจำเลยไม่มีหนี้ที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลย อันเนื่องจากโจทก์ถูกธนาคารบังคับชำระหนี้แทนจำเลย ฉะนั้น เมื่อจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทโดยยังไม่มีหนี้ซึ่งอาจบังคับได้ที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๔
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง .