โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 285
จำเลยให้การรับสารภาพ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยถอนคำให้การเดิมแล้วให้การใหม่เป็นปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ เข้าองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 หรือไม่ ในเรื่องนี้ได้ความจากผู้เสียหายว่าในวันเกิดเหตุผู้เสียหายเข้านอนตามปกติในเวลาประมาณ 21 นาฬิกา โดยมีจำเลย นางบุญเจือ และเด็กหญิงมณีรัตน์ มารดาและน้องสาวของผู้เสียหายตามลำดับรวม 4 คน นอนอยู่ในมุ้งเดียวกัน ครั้นถึงเวลาประมาณ 24 นาฬิกา ผู้เสียหายรู้สึกว่ามีคนขึ้นมานอนทับและพยายามถอดกางเกงของผู้เสียหายออก ผู้เสียหายตื่นขึ้นมาแต่ไม่พบว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เพียงแต่ว่ากางเกงของผู้เสียหายถูกรูดลงไปเล็กน้อย ผู้เสียหายคิดว่ากางเกงหลวมจึงดึงขึ้นไปสวมตามปกติแล้วนอนหลับต่อขณะที่ผู้เสียหายครึ่งหลับครึ่งตื่นรู้สึกคล้ายกับมีคนขึ้นมาทับตัวและถอดกางเกงของผู้เสียหายลงไปประมาณครึ่งขา แล้วเอาวัตถุใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย ผู้เสียหายพยายามที่จะผลักออก ผู้ที่ขึ้นมาทับตัวรู้สึกว่าเป็นผู้ชายแต่ไม่กล้าลืมตาขึ้นไปมอง ปล่อยเลยตามเลย โดยถูกกระทำอยู่ประมาณ 20 นาที เห็นว่า ทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายเป็นบุคคลที่มีสภาพจิตที่ไม่สมบูรณ์ เช่น เป็นคนปัญญาอ่อน แต่อย่างใด ผู้เสียหายมีสภาพจิตเหมือนบุคคลทั่ว ๆ ไปและโดยวิสัยของผู้หญิงทั่วไปย่อมต้องรักนวลสงวนตัวไม่ยินยอมให้บุคคลใดร่วมประเวณีได้ง่าย ๆ ผู้เสียหายเป็นผู้สืบสันดานของจำเลยอยู่ในการอุปการะเลี้ยงดูของจำเลย จึงไม่มีเหตุผลใดที่ผู้เสียหายจะยินยอมให้จำเลยซึ่งเป็นบิดาบังเกิดเกล้าร่วมประเวณีด้วยอย่างแน่นอน ขณะเกิดเหตุเมื่อผู้เสียหายรู้สึกตัวว่ามีคนขึ้นมาทับตัวแล้วเอาวัตถุใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของตน ผู้เสียหายพยายามที่จะผลักออกไป รู้สึกว่าเป็นผู้ชายแต่ไม่กล้าลืมตาขึ้นไปมอง แสดงว่าผู้เสียหายไม่ได้ยินยอม ได้ขัดขืนโดยพยายามผลักออกแล้ว แต่ไม่สามารถขัดขืนได้จึงปล่อยเลยตามเลย ปรากฏว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยซึ่งเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวนอนอยู่ในมุ้งด้วย ขณะที่ผู้เสียหายพยายามที่จะผลักออก ผู้เสียหายอาจจะรู้ว่าเป็นจำเลยจึงไม่กล้าขัดขืนต่อไป และไม่กล้าบอกให้บุคคลอื่นทราบก็เป็นได้ ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหาย โดยมีพฤติการณ์ขึ้นนอนทับตัวผู้เสียหายแล้วเอาอวัยวะเพศสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย ผู้เสียหายขัดขืนพยายามที่จะผลักออก แต่จำเลยก็ยังนอนทับและทำการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอยู่เป็นเวลานานประมาณ 20 นาที เช่นนี้ถือได้ว่าผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ การกระทำของจำเลยจึงเข้าองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำผิดและใช้บังคับแก่คดี เนื่องจากกฎหมายที่แก้ไขในภายหลังระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาไม่เป็นคุณแก่จำเลย จำเลยจึงมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น"
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก (เดิม) ประกอบ มาตรา 285 จำคุก 16 ปี