โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันปล้นเงิน 1,000 บาทของผู้เสียหาย โดยมีและใช้อาวุธปืนกับใช้รถแท็กซี่เป็นยานพาหนะเพื่อพาทรัพย์หลบหนีให้พ้นการจับกุม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340, 340 ตรี, 83 ริบเหล็กขูดชาฟท์ของกลาง คืนอาวุธปืนกับรถแท็กซี่ของกลางแก่เจ้าของ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงิน 1,000 บาท แก่ผู้เสียหาย จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด18 ปี คำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่มาก ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 12 ปี ริบเหล็กขูดชาฟท์ของกลางคืนอาวุธปืนกับรถแท็กซี่ของกลางแก่เจ้าของ และให้จำเลยที่ 1คืนหรือใช้เงิน 1,000 บาท แก่ผู้เสียหาย ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี วางโทษจำคุกคนละ 18 ปี คำรับของจำเลยทั้งสองในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 12 ปี ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 1,000 บาท แก่ผู้เสียหายนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุมีคนร้าย 2 คน มีอาวุธปืนและเหล็กขูดชาฟท์เป็นอาวุธขู่เข็ญบังคับนายเสถียรและนายบุญพนักงานของโรงแรมอพอลโลไม่ให้ขัดขืน แล้วคนร้ายลักเอาเงิน 1,000 บาท ในลิ้นชักไปโดยมีจำเลยที่ 1 เป็นคนดูต้นทางและมีคนร้ายอีกคนหนึ่งขับรถแท็กซี่รับคนร้ายทั้งสองและจำเลยที่ 1 หลบหนีไป เจ้าพนักงานตำรวจไล่ติดตามจับจำเลยที่ 1 ได้ยึดรถแท็กซี่ อาวุธปืน 1 กระบอกและเหล็กขูดชาฟท์1 อัน ในรถเป็นของกลาง และในคืนเดียวกันเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 2 ได้ มีปัญหาในชั้นฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 และพวกหรือไม่ สิบตำรวจโทพินิจ จันทร์สืบพยานโจทก์เบิกความว่าเมื่อจับจำเลยที่ 1 ได้ จำเลยที่ 1 รับว่าได้ร่วมกับพวกอีก 3 คนปล้นทรัพย์ จำเลยที่ 1 เป็นคนดูต้นทางจำเลยที่ 2 เป็นคนขับรถแท็กซี่ สิบตำรวจตรีพิจิตร โยธินวัชรชัยพยานโจทก์เบิกความว่า เมื่อสิบตำรวจโทพินิจนำจำเลยที่ 1 ส่งสถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน พยานได้สอบถามจำเลยที่ 1 รับว่าเป็นคนดูต้นทาง จำเลยที่ 2 ซึ่งอยู่บ้านเดียวกันร่วมปล้นทรัพย์ด้วยพยานและเจ้าพนักงานตำรวจไปจับจำเลยที่ 2 ได้ตามที่จำเลยที่ 1บอก เห็นว่าในคืนเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 2 ได้แสดงว่า จำเลยที่ 1 ได้ให้การระบุว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดด้วยดังคำเบิกความของพยาน ขณะเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมพบจำเลยที่ 2นั่งแอบอยู่ข้างตุ่มน้ำและพยายามหลบหนีเป็นพฤติการณ์ที่ส่อพิรุธพันตำรวจโทจเร คำมีศรี พยานโจทก์เบิกความว่า ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพนำชี้ที่เกิดเหตุและให้ถ่ายภาพประกอบคำรับสารภาพไว้โดยความสมัครใจเห็นว่าจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนในวันที่ถูกจับ ตามเอกสารหมาย จ.18 และนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับให้ถ่ายภาพไว้ตามเอกสารหมาย จ.19 และภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.7 ในวันที่ 19 กันยายน 2527 ซึ่งเป็นระยะเวลาใกล้ชิดกับวันเกิดเหตุ น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2 ให้การและนำชี้ที่เกิดเหตุไปตามความจริง ทั้งรถแท็กซี่ที่คนร้ายใช้เป็นยานพาหนะหลบหนีจำเลยที่ 2 ก็ยอมรับว่าเป็นผู้เช่า เท่ากับยอมรับว่าจำเลยที่ 2เป็นผู้ครอบครองรถแท็กซี่ เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ แม้ไม่มีประจักษ์พยานแต่มีพยานแวดล้อมสอดคล้องกันเป็นอย่างดี มีน้ำหนักส่วนข้ออ้างของจำเลยที่ 2 ว่า ไม่ได้ร่วมกระทำผิดเพราะตอนกลางคืนได้ให้จำเลยที่ 1 ขับรถแท็กซี่ จำเลยที่ 2 ขับเฉพาะตอนกลางวันเป็นข้ออ้างที่ขัดกับคำให้การในชั้นสอบสวน หากเป็นความจริงจำเลยที่ 2 น่าจะให้การไว้ในชั้นสอบสวน ส่วนข้ออ้างที่ว่าบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.18 และบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.19 พนักงานสอบสวนให้ลงชื่อโดยไม่อ่านให้ฟังเป็นข้ออ้างลอย ๆ และไม่มีเหตุให้น่าระแวงว่าพนักงานสอบสวนจะแกล้งทำขึ้นปรักปรำจำเลยที่ 2 พยานหลักฐานของจำเลยที่ 2ไม่มีน้ำหนัก หักล้างพยานหลักฐานโจทก์ไม่ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 และพวกดังฟ้องที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน