โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ชดใช้ราคาแทน 400,539.23 บาท ให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหาย 38,360.77 บาท และอีกเดือนละ 2,950.83 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 438,900 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี ถ้าส่งคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 320,000 บาท ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหาย 24,000 บาท และอีกเดือนละ 2,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 18 พฤศจิกายน 2559) เป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแทนแต่ไม่เกิน 6 เดือน กับให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าขาดประโยชน์เป็นระยะเวลา 60 วัน นับแต่วันผิดนัดคิดเป็นเงิน 3,692.30 บาท กับให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์หรือใช้ราคาแทน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ชำระเกินมา 6,380 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2558 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า หมายเลขทะเบียน ขค 2656 ขอนแก่น จากโจทก์ ในราคา 420,750 บาท ตกลงชำระค่าเช่าซื้อเป็นงวดรายเดือน รวม 60 งวด โดยงวดที่ 1 ถึงงวดที่ 59 งวดละ 7,013.08 บาท งวดที่ 60 จำนวน 6,978.28 บาท เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 5 กันยายน 2558 และทุกวันที่ 5 ของทุกเดือนจนกว่าจะครบ โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดในวงเงิน 450,202.76 บาท ภายหลังจากทำสัญญาจำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อเพียง 2 งวด กับงวดที่สามเพียงบางส่วน เป็นเงิน 20,217.76 บาท แล้วผิดนัดไม่ชำระเกินกว่าสามงวดติดต่อกัน วันที่ 11 สิงหาคม 2559 โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามและบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยทั้งสอง จำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2559 สำหรับจำเลยที่ 2 ไม่สามารถส่งได้เนื่องจากไม่มารับภายในกำหนด แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยไม่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาเพียงประเด็นเดียวว่า จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืน หากคืนไม่ได้ต้องชดใช้ราคารถแทนแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งผิดสัญญาเช่าซื้อและฟ้องจำเลยที่ 2 ผิดสัญญาประกัน โดยขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบถ้วนตั้งแต่งวดที่ 3 ประจำวันที่ 5 พฤศจิกายน 2558 และผิดนัดเรื่อยมาเป็นเวลาสามงวดติดต่อกัน ภายหลังจากนั้นเป็นเวลาล่วงพ้นกว่าหกสิบวันนับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัด โจทก์เพิ่งมีหนังสือบอกกล่าวแก่จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกัน ตามหนังสือบอกกล่าวลงวันที่ 11 สิงหาคม 2559 ส่งไปยังจำเลยที่ 2 ทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับตามที่อยู่ของจำเลยที่ 2 ที่ระบุในสัญญาค้ำประกัน การส่งหนังสือบอกกล่าวเช่นนี้ แม้ไม่พบจำเลยที่ 2 และไม่มีผู้ใดรับไว้ ก็ถือว่าหนังสือบอกกล่าวได้ไปถึงจำเลยที่ 2 อันมีผลเป็นการบอกกล่าวแก่จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันแล้ว และผลของการบอกกล่าวของโจทก์ที่ล่วงพ้นกำหนดเวลาหกสิบวัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดดังกล่าวย่อมทำให้จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นเพียงความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนี้บรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกำหนดเวลาหกสิบวันนับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 วรรคสอง แต่สำหรับหนี้ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแทนโจทก์ยังติดใจฎีกาให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดด้วยนั้น เนื่องจากรถยนต์ที่เช่าซื้อเป็นทรัพย์ซึ่งวัตถุแห่งหนี้ของสัญญาเช่าซื้อ ดังนั้น หนี้การส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อ ตลอดจนหนี้ใช้ราคาแทนในกรณีส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้ไม่ได้ ย่อมเป็นหนี้ประธานของสัญญาเช่าซื้อ หาใช่หนี้ดอกเบี้ยหรือค่าสินไหมทดแทนหรือค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้ตามความในมาตรา 686 วรรคสอง ดังที่กล่าวมาแล้วไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 แผนกคดีผู้บริโภคเห็นว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีหน้าที่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแทนเพราะหนี้ดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังระยะเวลาหกสิบวันนับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 686 วรรคสอง นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 แผนกคดีผู้บริโภค เห็นว่า โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 อย่างลูกหนี้ร่วมเป็นคดีที่ขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท และสั่งคืนค่าขึ้นศาล 6,380 บาท แก่โจทก์นั้นไม่ชอบเพราะโจทก์ขอให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ หากส่งคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 320,000 บาท มาด้วย ซึ่งเป็นคดีมีทุนทรัพย์ จึงต้องชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ตามทุนทรัพย์ซึ่งโจทก์ชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาชอบแล้ว
พิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี ถ้าส่งคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 320,000 บาท แก่โจทก์ ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ที่สั่งคืนค่าขึ้นศาล 6,380 บาท แก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 4