คดีนี้เดิมโจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็ค ๓๘,๐๐๐ บาท ระหว่างพิจารณาโจทก์ร้องขอให้ศาลอายัดเงิน ซึ่งจำเลยจะได้รับเป็นค่าก่อสร้างอาคารสงเคราะห์จากผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี ศาลจังหวัดราชบุรีไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้อายัดเงิน ๓๘,๐๐๐ บาทที่จำเลยจะได้รับจากผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี และได้หมายอายัดไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรีห้ามจ่ายเงิน ๓๘,๐๐๐ บาทแก่นายวิชัย มณีรัตน์ หรือจำเลย ต่อมาโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมกันที่ศาล โดยจำเลยยอมใช้เงิน ๓๒,๘๐๐ บาท พร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ โจทก์ได้ร้องขอให้ศาลออกหมายยึดเงิน ๓๘,๐๐๐ บาทที่สั่งอายัดไว้จากผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยึดและออกหมายบังคับคดี และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการยึดเงินนั้นแล้ว
ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรียื่นคำคัดค้านว่า โจทก์ไม่มีสิทธิ์ยึดเงินรายนี้ เพราะจำเลยได้โอนสิทธิการรับเหมาก่อสร้างอาคารสงเคราะห์ตลอดจนความรับผิดชอบและการรับเงินให้แก่นายวิชัย มณีรัตน์ไปแล้ว จำเลยไม่มีสิทธิจะได้รับเงินจากผู้ร้องอีก ขอให้ถอนการยึด
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ สั่งงดการไต่สวน แล้วสั่งเพิกถอนกระบวนการบังคับคดีที่ได้ทำมา นับแต่การออกหมายอายัด
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า การดำเนินกระบวนการบังคับของศาลชั้นต้นที่ถูกศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนนั้นเป็นการดำเนินกระบวนการบังคับคดีที่ชอบด้วยกฎหมายแล้วสั่งให้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นเสีย
ผู้ร้องฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ผู้ร้องเถียงขึ้นมาในชั้นศาลฎีกาว่าเงินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดเอามาเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ ม.๑๓๐๗ นั้น ปรากฎว่าตามคำคัดค้านของผู้ร้องมิได้โต้แย้งไว้แต่ศาลชั้นต้น จึงไม่มีประเด็นในข้อนี้ จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.