โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 283 ทวิ, 317
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานางสาว ธ. ผู้เสียหายที่ 1 โดยนางสาว ส. มารดาผู้แทนโดยชอบธรรม และนาง ม. ผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 62,000 บาท และ 64,000 บาท ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2557 และวันที่ 25 พฤศจิกายน 2557 ตามลำดับ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องทั้งสอง
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก (เดิม), 283 ทวิ วรรคสอง (เดิม), 317 วรรคสาม (เดิม) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารและกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร จำคุก 5 ปี รวมจำคุก 11 ปี และให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องที่ 1 เป็นเงิน 62,000 บาท และแก่ผู้ร้องที่ 2 เป็นเงิน 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินที่ต้องรับผิดต่อผู้ร้องแต่ละรายนับแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2557 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง และยกคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของผู้ร้องทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นที่ยุติในเบื้องต้นว่า เด็กหญิง ธ. ผู้เสียหายที่ 1 อายุ 14 ปี เป็นบุตรของนาย ส. กับนางสาว ส. ขณะเกิดเหตุอยู่ในความอุปการะของนาง ม. ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นย่า จำเลยเป็นผู้จัดรายการวิทยุกระจายเสียงสถานีวิทยุกระจายเสียงตลาดสันติสุข ผู้เสียหายที่ 1 ได้มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพันตำรวจโท อ. พนักงานสอบสวน ให้ดำเนินคดีแก่จำเลย กล่าวหาว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 เจ้าพนักงานตำรวจจึงส่งผู้เสียหายที่ 1 ไปตรวจร่างกาย และแพทย์ได้ทำความเห็นตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลหรือศพของแพทย์ วันรุ่งขึ้นผู้เสียหายที่ 1 ได้เขียนบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปมอบแก่พนักงานสอบสวน หลังเกิดเหตุ 3 ถึง 4 วัน ผู้เสียหายที่ 1 ชี้ยืนยันภาพของจำเลยว่าจำเลยคือคนร้าย กับมอบเอกสารซึ่งมีข้อความการสนทนาระหว่างผู้เสียหายที่ 1 และจำเลยทางแอปพลิเคชันไลน์แก่พนักงานสอบสวน ต่อมาวันที่ 1 มิถุนายน 2560 จำเลยเข้ามอบตัว พันตำรวจโท อ. แจ้งข้อกล่าวหาจำเลยว่า พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร พาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม และกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม จำเลยให้การปฏิเสธตามบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาและบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความได้ใจความเป็นลำดับตั้งแต่เริ่มรู้จักจำเลยโดยการโทรศัพท์ไปขอเพลงจากจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดรายการวิทยุ สถานีวิทยุกระจายเสียง 91.25 เมกะเฮิรตซ์ ใช้ชื่อว่า ส. บักอือ ตั้งอยู่ที่ตลาดสันติสุข การที่ผู้เสียหายที่ 1 ติดต่อกับจำเลยทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ทำให้แอปพลิเคชันไลน์ของโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายและของจำเลยเชื่อมต่อกันและพูดคุยกันได้ ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความอีกว่า เริ่มแรกจำเลยพูดคุยกับผู้เสียหายที่ 1 ทางแอปพลิเคชันไลน์ด้วยเรื่องทั่วไป ต่อมาจำเลยขอรูปภาพส่วนบนและส่วนล่างของผู้เสียหายที่ 1 จำเลยใช้ถ้อยคำ เช่น อยากเห็นแบบสยิว ๆ มีบ่ คนน้อย แบบเซ็ก ๆ จัด ๆ ยั่วน้ำลาย ซึ่งเป็นการใช้ถ้อยคำลวนลามและพูดชักจูงผู้เสียหายที่ 1 ให้พูดคุยเรื่องเพศ ส่อให้เห็นว่าจำเลยคิดมิดีมิร้ายต่อผู้เสียหายที่ 1 โดยจำเลยใช้ความที่เป็นผู้ใหญ่กว่าเจนโลกมากกว่าผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง 14 ปีเศษ ล่อลวงให้หลงเชื่อจำเลย และผู้เสียหายที่ 1 ยังเบิกความถึงการกระทำของจำเลยว่าได้ถอดกางเกงยีนของจำเลยออกแล้วถอดกางเกงของผู้เสียหายที่ 1 กับสวมถุงยางอนามัยแล้วข่มขืนผู้เสียหายที่ 1 และโจทก์มีผลการตรวจชันสูตรบาดแผลหรือศพของแพทย์มาประกอบ โดยแพทย์มีความเห็นว่าอาจมีการร่วมประเวณีตามวันเวลาเกิดเหตุ และพบสารแอซิดฟอสฟาเตสจากน้ำซับในช่องคลอด ซึ่งสารนี้มีอยู่ในน้ำอสุจิ เมื่อนำมาพิจารณาประกอบคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 แล้ว ทำให้คำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 มีน้ำหนักฟังได้ว่า วันเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 ผ่านการร่วมประเวณีมา พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักรับฟังโดยปราศจากความสงสัยว่า จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 อันเป็นความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม และเมื่อได้ความว่าขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 อยู่อาศัยกับนาง ม. ผู้เป็นย่าและเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูผู้เสียหายที่ 1 ตลอดมา การที่จำเลยใช้วาจาล่อลวงชักชวนให้ผู้เสียหายที่ 1 ไปหาจำเลยยังที่เกิดเหตุและกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร และฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจารอีกด้วย สำหรับความผิดฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารเป็นการกระทำต่อเนื่องกับความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ส่วนความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากผู้ปกครอง ผู้ดูแล เพื่อการอนาจารเป็นความผิดอันมีเจตนาแยกต่างหากจากการพาไปเพื่อการอนาจาร จึงเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2562 มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ.2562 ใช้บังคับ โดยมาตรา 5 ให้ยกเลิกความในมาตรา 277 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และให้ใช้ข้อความใหม่แทน แต่กฎหมายที่ใช้ภายหลังกระทำความผิดไม่เป็นคุณแก่จำเลย จึงให้ใช้กฎหมายที่ใช้ขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ