โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 299,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 183,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2553) จนกว่าจะชำระเสร็จ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 4,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกาโดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า ปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ แม้มิใช่ปัญหาที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่ก็เป็นปัญหาข้อกฎหมาย เมื่อโจทก์ฟ้องและจำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม คดีจึงมีประเด็นพิจารณาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ อย่างไรก็ดี คดีนี้โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยชำระเงินจำนวน299,000 บาท จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ไม่เกิน 300,000 บาท เป็นคดีมโนสาเร่ ตามบทบัญญัติมาตรา 189 (1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง คดีมโนสาเร่เป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ไม่มาก กฎหมายจึงมีวัตถุประสงค์ให้คดีเช่นนี้เสร็จไปโดยไม่จำต้องดำเนินคดีเต็มรูปแบบดังเช่นการดำเนินคดีแพ่งสามัญโดยกำหนดวิธีพิจารณาที่รวดเร็ว แต่คู่ความยังได้รับความเป็นธรรมตามสิทธิที่ตนมี ดังปรากฏตามเหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 17) พ.ศ.2542 ว่า "เพื่อให้คดีได้เสร็จสิ้นไปโดยเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่ายของคู่ความ" ซึ่งมาตรา 191 วรรคสอง บัญญัติว่า "ในกรณีที่โจทก์ยื่นคำฟ้องเป็นหนังสือ หากศาลเห็นว่าคำฟ้องดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือขาดสาระสำคัญบางเรื่อง ศาลอาจมีคำสั่งให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องในส่วนนั้นให้ถูกต้องหรือชัดเจนขึ้นก็ได้" ดังนั้น เมื่อคดีนี้จำเลยให้การว่าคำฟ้องโจทก์เคลือบคลุม คดีจึงมีประเด็นว่า คำฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ หากศาลเห็นว่าคำฟ้องโจทก์เคลือบคลุม กรณีย่อมต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 191 วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นต้องมีคำสั่งให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องในส่วนนั้นให้ถูกต้องหรือชัดเจนขึ้นก่อน หากโจทก์ไม่ทำการแก้ไขจึงจะถือว่ามีประเด็นเรื่องคำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมที่ศาลจะมีคำสั่งวินิจฉัยต่อไป สำหรับคดีนี้จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม แต่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งให้โจทก์แก้ไขคำฟ้อง ตามมาตรา 191 วรรคสอง กรณีถือว่า ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจพิจารณาแล้วว่า คำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุมต้องถือว่าประเด็นเรื่องคำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เป็นอันยุติไปตามสภาพที่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งให้โจทก์แก้ไขคำฟ้อง ตามมาตรา 191 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทบัญญัติพิเศษเพื่อให้การดำเนินคดีมโนสาเร่สามารถดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว ไม่ติดขัดไปตามบทกฎหมายเกี่ยวกับวิธีพิจารณาความ กรณีถือว่าปัญหาเรื่องคำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เป็นอันยุติไปแล้ว จำเลยจึงไม่อาจยกอ้างปัญหานี้ขึ้นอุทธรณ์ได้ เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามตาม มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 รับวินิจฉัยในข้อปัญหาดังกล่าวจึงไม่ชอบ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น ส่วนปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ครอบครองรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซีวิค ตามฟ้องจึงไม่มีอำนาจฟ้องและโจทก์เสียหายเพียงใดนั้น แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 จะยังมิได้วินิจฉัยในปัญหาดังกล่าว แต่คู่ความสืบพยานมาจนสิ้นกระแสความ ข้อเท็จจริงเพียงพอแก่การวินิจฉัย เพื่อมิให้คดีล่าช้าศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว โดยไม่ต้องย้อนสำนวนลงไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยก่อน ปัญหาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความยืนยันว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองรถยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซีวิค ตามฟ้อง ซึ่งขณะเกิดเหตุยังไม่มีแผ่นป้ายทะเบียนเนื่องจากเป็นรถใหม่ ส่วนจำเลยไม่มีพยานมานำสืบหักล้าง แม้โจทก์ไม่ได้นำสืบพยานเอกสารใด ๆ ที่เกี่ยวกับรถยนต์คันที่เกิดเหตุดังที่จำเลยกล่าวอ้างมาในอุทธรณ์ก็ไม่ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์ไม่น่าเชื่อ สำหรับในเรื่องค่าเสียหายนั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจกำหนดค่าเสียหายของโจทก์เหมาะสมแล้ว กรณีไม่มีเหตุให้ศาลฎีกาเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำพิพากษาของศาลชั้นต้น อุทธรณ์จำเลยเป็นเพียงความคิดเห็นของจำเลยโดยไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุนจึงฟังไม่ขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้จำเลย ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และฎีกาแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 6,000 บาท