โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2528 จำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทและรับชำระค่าที่ดินจากโจทก์ แต่จำเลยทั้งสองกลับมีหนังสือแจ้งขอยกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายต่อโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 3010 ให้แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองโดยให้จำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายออกค่าใช้จ่าย
จำเลยทั้งสองให้การว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ เพราะฟ้องคดีเกิน 2 ปีแล้ว ในวันที่ 6 มิถุนายน 2529 ซึ่งโจทก์นัดจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทนั้นเจ้าพนักงานที่ดินไม่อาจทำการจดทะเบียนให้ได้ และโจทก์ก็มิได้ชำระราคาที่ดินพิพาทให้จำเลยย่อมถือได้ว่าสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทยกเลิกกันไป ซึ่งจำเลยทั้งสองก็มีหนังสือแจ้งยืนยันขอเลิกสัญญาไปยังโจทก์แล้วขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3010 หมู่ที่ 10 ตำบลบ้านพริกอำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาแทน ทั้งนี้โดยโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระราคาที่ดินให้จำเลยทั้งสองไร่ละ 1,951 บาท และเป็นฝ่ายชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ข้างต้นศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 3010 หมู่ 11 ตำบลบ้านพริกอำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2528จำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาจะขายที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ โจทก์และจำเลยได้ไปติดต่อจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันเมื่อวันที่ 6มิถุนายน 2529 แต่เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนให้ไม่ได้เนื่องจากโฉนดที่ดินฉบับสำนักงานที่ดินชำรุด ต่อมาจำเลยทั้งสองมีหนังสือบอกเลิกสัญญาต่อโจทก์ โจทก์ได้มีหนังสือถึงจำเลยทั้งสองว่ายังประสงค์จะรับโอนที่ดินและชำระเงินเมื่อสำนักงานที่ดินจังหวัดนครนายกดำเนินการออกใบแทนโฉนดเสร็จโดยจะแจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบ แต่จำเลยทั้งสองตอบปฏิเสธอ้างว่าได้บอกเลิกสัญญาแล้ว ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ คดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่และจำเลยทั้งสองยังต้องผูกพันตามสัญญาจะซื้อขายอยู่หรือไม่
โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่นั้น จำเลยทั้งสองให้การไว้ว่านายปิติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ไม่มีอำนาจมอบให้ฟ้องคดีแทนโจทก์แต่จำเลยทั้งสองได้ฎีกาว่า หนังสือมอบอำนาจไม่ได้ระบุชัดว่าฟ้องจำเลยทั้งสองเรื่องอะไร โจทก์นำสืบเพียงแต่ผู้รับมอบอำนาจเบิกความว่าได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีเท่านั้น จึงยังรับฟังไม่ได้ในข้อนี้นั้น ฎีกาของจำเลยไม่ตรงประเด็นกับที่จำเลยทั้งให้การไว้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองตามสัญญาจะซื้อขาย ซึ่งไม่มีกฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะว่าให้ใช้บังคับเสียภายในระยะเวลาเท่าใด ต้องถือว่ามีกำหนดอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164 คดีของโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ และการที่เจ้าพนักงานที่ดินยังไม่รับจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์จำเลยทั้งสองโดยอ้างว่า โฉนดที่ดินฉบับสำนักงานที่ดินชำรุดนั้นมิใช่เป็นความผิดของโจทก์ จะถือว่าโจทก์ผิดสัญญายังไม่ได้ จำเลยทั้งสองจึงจะอ้างเหตุดังกล่าวมาบอกเลิกสัญญากับโจทก์ไม่ได้ การบอกเลิกสัญญาต่อโจทก์ย่อมไม่มีผล สัญญาจะซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยยังใช้บังคับอยู่ จำเลยทั้งสองต้องโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้โจทก์ตามสัญญา คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว"
พิพากษายืน