โจทก์ฟ้องว่าเมื่อจัดตั้งโรงเรียนประชาบาลวัลลภราษฎร์รังสรรค์ ตำบลบ้านหนุน อำเภอสอง จังหวัดแพร่ ทางราชการได้จัดซื้อที่ ๘ ไร่เศษเพื่อใช้สร้างตัวโรงเรียน และใช้ประโยชน์เกี่ยวแก่กิจการของโรงเรียน เมื่อ ๑๓ ม.ค. ๒๔๘๔ ซึ่งโจทก์ถือว่าที่นี้เป็นทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน ต่อมา พ.ศ. ๒๔๘๖ กรมทางหลวงแผ่นดินได้ตัดถนนผ่านที่ ได้ทำให้ที่แยกออกเป็น ๒ แปลง คือแปลงตะวันออกเป็นที่ตั้งโรงเรียน ตะวันตกทางการจัดให้เป็นที่นักเรียนฝึกหัดทำการเพาะปลูก พ.ศ. ๒๔๙๑ จำเลยมาขอทำสัญญาเช่าที่แปลงตะวันตก ๗๐๐ ตารางเมตรเพื่อปลูกบ้าน ๕ ปี ครั้นถึง พ.ศ. ๒๔๙๗ หมดกำหนดอายุสัญญาเช่า ทางโรงเรียนจำเป็นจะใช้ที่นั้นจึงได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลย และให้จำเลยออกจากที่ไปใน ๓๐ วัน ครบกำหนดจำเลยไม่ออก จึงมาฟ้องให้ศาลบังคับ
จำเลยต่อสู้ว่าไม่เคยทำสัญญาเช่า ถ้ามีสัญญาก็เป็นเพราะจำเลยสำคัญผิดโดยจำเลยถูกหลวงลวงเพราะจำเลยไม่รู้หนังสือ ที่พิพาทเดิมเป็นที่รกร้าง จำเลยเข้าแผ้วถางปกครองมาร่วม ๒๐ ปี
ศาลชั้นต้นได้พิจารณาคดีแล้ว พิพากษาให้จำเลยแพ้คดี
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
คดีนี้ทุนทรัพย์เพียง ๓,๐๐๐ บาท เมื่อศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยได้เช่า จำเลยจะคัดค้านว่าเป็นป่าได้แผ้วถางมาไม่ได้ และการที่ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์นายหนึ่งเห็นแย้งในข้อกฎหมายกรณีไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นซึ่งอนุญาตให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้
สำหรับที่ดินพิพาทศาลฎีกาเห็นว่าเป็นที่ดินที่ทางราชการได้จัดซื้อขึ้น จึงเป็นทรัพย์ของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณะประโยชน์ ตามประมวลแพ่งฯ มาตรา ๑๓๐๔ การที่ทางราชการให้จำเลยเช่า หาทำให้ที่พิพาทกลับเป็นของเอกชนคนใดคนหนึ่งเฉพาะไม่ คงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่นั่นเอง
ตาม พ.ร.บ. บริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๙๕ มาตรา ๓๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๔๙๙ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัด โดยมีหน้าที่คุ้มครองดูแลรักษาสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ฯลฯ ฉะนั้น นายชุณห์ นกแก้ว ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดย่อมมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้ ฯลฯ จึงพิพากษายืน.