โจทก์ฟ้องมีใจความว่าโจทก์ได้เช่าที่มาจากสำนักงานทรัพย์สินฯ ต่อเนื่องกันมาหลายสิบปี แล้วมาแบ่งให้จำเลยเช่า 56 ตารางวา โดยไม่ได้ทำหนังสือและไม่มีกำหนดระยะเช่าวัตถุของการเช่าก็คือจำเลยจะปลูกอาคารและประกอบการค้า และจำเลยได้สร้างอาคารและทำการอุตสาหกรรมใช้ยี่ห้อว่า "มาหล่ำกี่" สถานที่เช่าอยู่ในทำเลการค้าอยู่ตอนหน้าซอยมิตรผดุง ถนนเจริญกรุงอำเภอยานนาวา จังหวัดพระนคร เนื่องจากโจทก์มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ที่ ๆ จำเลยเช่า จึงได้บอกเลิกสัญญาเช่าและให้จำเลยออกจากที่ใน 1 เดือน จำเลยได้รับคำบอกกล่าวและครบกำหนดแล้วก็ไม่ออก โจทก์จึงต้องมาฟ้องจำเลยเพื่อให้ศาลบังคับต่อไป
จำเลยต่อสู้คดี ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีโจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาได้วินิจฉัยฎีกาของจำเลยในข้อกฎหมายไว้ดังนี้
1. จำเลยรับว่าเช่าที่จากโจทก์ถือว่าโจทก์เป็นคู่สัญญากับจำเลยโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยได้ แม้จะมีผู้อื่นเช่าที่จากทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ร่วมกับโจทก์ก็ไม่จำเป็นต้องเอาคนเหล่านั้นมาลงชื่อฟ้องจำเลยด้วย
2. ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าห้องแถวที่จำเลยสร้างขึ้นในที่เช่าติดป้าย "บริษัทมาหล่ำกี่ก่อสร้าง จำกัด" ซึ่งเป็นบริษัทค้าไม้แปรรูปและรับเหมาก่อสร้าง มีเสมียนของบริษัท 1 คนทำงานอยู่ในห้องชั้นล่างและเก็บไม้แบบสำหรับหล่อปูนซิเมนต์ในการก่อสร้าง ด้านหลังติดกับห้องแถวตั้งเป็นโรงงานไสไม้ ห้องนี้ติดกับถนนซอยมิตรผดุงเมื่อไสไม้ได้ก็เอามาเก็บไว้ชั้นล่างเพื่อจัดส่งให้แก่ผู้สั่งทำต่อไป ลักษณะห้องก็เป็นห้อง 5 ห้อง 2 ชั้น กั้นห้องเพียงชั้นบนชั้นล่างไม่กั้นปล่อยเป็นห้องโถง แสดงว่าเพื่อใช้ประโยชน์ยิ่งกว่าอาศัย ทั้งโจทก์นำสืบฟังได้ว่าที่นี้อยู่ในทำเลการค้าห้องที่ปลูกจึงมิใช่เคหะซึ่งจะได้รับความคุ้มครองจาก พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน
3. ข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายชาญได้บอกเลิกการเช่าแทนโจทก์เมื่อปีเศษมาแล้ว เท่าที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์ให้จำเลยอยู่ต่อไปจนกว่าจะสร้างตึกในที่เช่า และโจทก์เก็บค่าเช่าต่อมาอีก 2เดือนนั้น ไม่เป็นการแสดงว่าโจทก์ตกลงต่อสัญญาเช่าให้จำเลยหากแต่เป็นการผ่อนผันให้จำเลยอยู่ต่อมาชั่วคราว จึงฟังได้ว่าได้มีการบอกกล่าวแล้ว
4. ฟังได้ว่าโจทก์ได้ค่าเช่าจากจำเลยเดือนละ 56 บาทโจทก์เองเบิกความยืนยัน จำเลยไม่โต้แย้ง ย่อมฟังเป็นค่าเสียหายที่โจทก์ควรได้รับชดใช้ได้