โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2540 จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์รวมกับเงินที่ทำสัญญากู้เงินไปก่อนหน้านี้หลายครั้งทำเป็นสัญญากู้เงินฉบับเดียว เป็นเงิน 300,000 บาท ยินยอมให้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี กำหนดชำระต้นเงินทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยภายในวันที่ 10 เมษายน 2542 ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 363,125 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 300,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้และรับเงินจำนวน 300,000 บาท จากโจทก์สัญญากู้เงินเป็นเอกสารปลอม ข้อความในสัญญาเป็นเท็จทั้งสิ้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้จำเลยชำระเงินจำนวน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 เมษายน 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "...เห็นว่า พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยกู้เงินโจทก์จำนวน 10,000 บาท และได้ลงลายมือชื่อไว้ในแบบพิมพ์หนังสือสัญญากู้เงินที่ยังไม่ได้กรอกข้อความมอบให้ไว้แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์ได้กรอกข้อความและจำนวนเงินในหนังสือสัญญากู้เงินว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไป 300,000 บาท โดยจำเลยมิได้รู้เห็นยินยอมด้วย สัญญากู้เงินตามฟ้องจึงเป็นเอกสารปลอม โจทก์จึงไม่อาจอ้างเอกสารดังกล่าวมาเป็นพยานหลักฐานในคดีได้ ถือว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินตามฟ้องแก่โจทก์นั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น"
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น