คดี ทั้ง สาม สำนวน นี้ ศาลชั้นต้น พิจารณา พิพากษา รวมกัน โดย ให้เรียก จำเลย ตามลำดับ สำนวน ว่า จำเลย ที่ 1 ถึง จำเลย ที่ 3
โจทก์ ทั้ง สาม สำนวน ฟ้อง มี ข้อความ ทำนอง เดียว กัน ว่า จำเลยทั้ง สาม ต่าง เข้า ไป ปลูก สิ่ง ก่อสร้าง และ พืชผล โดย จำเลย ที่ 1ปลูก บ้าน สร้าง บ้านเรือน และ สิ่ง ก่อสร้าง จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3เข้า ไป ล้อม รั้ว และ ปลูก พืช ใน บริเวณ ที่ดิน ที่ กรมชลประทาน ก่อสร้างโครงการ ชลประทาน อ่างเก็บน้ำ ลำแชะ ใน เขต ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าครบุรี ท้องที่ ตำบล โคกกระชาย อำเภอครบุรี จังหวัด นครราชสีมา อันเป็น การ กีดขวาง แก่ แนว ทาง ที่ กรมชลประทาน ได้ ทำการสำรวจ ไว้ เพื่อ การ ก่อสร้าง โครงการ ชลประทาน อ่างเก็บน้ำ ลำแชะ เหตุ เกิด ที่ ตำบล โคกกระชาย อำเภอครบุรี จังหวัด นครราชสีมา ขอให้ ลงโทษ ตาม พระราชบัญญัติ ชลประทานหลวง พ.ศ. 2485 มาตรา 31, 37
จำเลย ทั้ง สาม สำนวน ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษา ว่า จำเลย ทั้ง สาม มี ความผิดตาม พระราชบัญญัติ การชลประทานหลวง พ.ศ. 2485 มาตรา 31, 37จำคุก จำเลย ทั้ง สาม คน ละ 1 เดือน ปรับ คน ละ 2,000 บาท โทษ จำคุกให้ รอการลงโทษ มี กำหนด คน ละ 2 ปี ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56ค่าปรับ ไม่ชำระ ให้ จัดการ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลย ทั้ง สาม สำนวน อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง
โจทก์ ทั้ง สาม สำนวน ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า จำเลย ที่ 3 แก้ ฎีกา ว่า ฎีกา โจทก์ ข้อ 2และ ข้อ 3 เป็น ฎีกา ที่ ไม่แสดง แจ้งชัด แห่ง ข้อหา เป็น ฎีกา เคลือบคลุมศาลฎีกา จึง ไม่สมควร วินิจฉัย ฎีกา ของ โจทก์ นั้น เห็นว่า คำ แก้ ฎีกาของ จำเลย ที่ 3 มิได้ แสดง โดยชัดแจ้ง ใน คำ แก้ ฎีกา ว่า ฎีกา ของ โจทก์ดังกล่าว เคลือบคลุม ส่วน ใด อย่างไร จึง เป็น คำ แก้ ฎีกา ที่ ไม่ ชัดแจ้งไม่มี ประเด็น ที่ จะ ต้อง วินิจฉัย ตาม คำ แก้ ฎีกา ของ จำเลย ที่ 3ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม ประกอบ ด้วยมาตรา 246, 247 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ศาลฎีกา ไม่รับ วินิจฉัย
พิพากษากลับ ให้ บังคับคดี ไป ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น