คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า  ผู้ร้องเป็นคนสัญชาติไทย  เกิดวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๔๘๒  ที่จังหวัดนครสวรรค์  บิดาเป็นจีน  มารดาเป็นคนไทย  เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๙๒  ผู้ร้องได้เดินทางไปเรียนหนังสือจีนที่กวางตุ้งประเทศจีนแล้วมาอยู่ฮ่องกง  บัดนี้มีความประสงค์จะกลับมาอยู่ในประเทศไทย  ได้เดินทางเข้ามาแล้ว  แต่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง  ว่าผู้ร้องเป็นคนต่างด้าว  จึงร้องขอพิสูจน์สัญชาติต่อศาล
พนักงานอัยการยื่นคำคัดค้านว่า  ผู้ร้องไม่ใช่คนสัญชาติไทย  เป็นคนสัญชาติจีน  ผู้ร้องไม่มีสิทธิที่จะร้องต่อศาล
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า  ผู้ร้องเป็นคนสัญชาติไทย  มีสิทธิอยู่ในประเทศไทย  ได้ตามคำร้องขอ
อัยการผู้ร้องคัดค้าน  อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
อัยการผู้ร้องคัดค้าน  ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าผู้ร้องเป็นบุตรนายหย่วนและนางฝอย  เกิดที่อำเภอลาดยาว  จังหวัดนครสวรรค์  เมื่อวันที่  ๑๖  กรกฎาคม  ๒๔๘๒  มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันรวม ๗ คน  ผู้ร้องเป็นบุตรคนที่ ๓ เดิมชื่อแก้ว   ต่อมาตอนเข้าโรงเรียนบริบาลวิทยา  ครูใหญ่ตั้งชื่อให้ใหม่ว่าโกวิท  ผู้ร้องเรียนจบชั้นประถม ๓ ปี พ.ศ. ๒๔๙๒ แล้วได้เดินทางไปประเทศจีน  เดินทางกลับมาประเทศไทย  ๒๙  พฤษภาคม ๒๕๐๒  ผู้ร้องนำหลักฐานไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองว่าเป็นคนไทย  แต่ทางกองตรวจคนเข้าเมืองไม่ยอม  ผู้ร้องจึงได้ร้องต่อศาล
ฎีกาผู้ร้องคัดค้านในข้อที่ว่า  เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้สั่งหรือกำหนดให้ผู้ร้องออกไปจากประเทศ  ถือว่ายังไม่มีข้อโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของผู้ร้องอย่างใด  ผู้ร้องจังยังไม่มีสิทธิที่จะร้องต่อศาลได้นั้น  ก็ได้ความจากผู้ร้องว่าได้นำหลักฐานไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองว่าเป็นคนไทย  แต่ทางกองตรวจคนเข้าเมืองไม่ยอม  ซึ่งถือได้ว่าผู้ร้องได้ถูกโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๕๕ แล้ว  ทั้งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๔๙๓ มาตรา ๔๓  ได้บัญญัติว่า  "ผู้ใดซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรอ้างตนวาเป็นคนไทย  ผู้นั้นต้องเป็นผู้ที่พิสูจน์  การพิสูจน์นั้นจะกระทำโดยร้องขอพิสูจน์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือร้องขอต่อศาลให้วินิจฉัยก็ได้"  ดังนี้ผู้ร้องย่อมร้องขอพิสูจน์สัญชาติต่อศาลได้โดยไม่จำต้องมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของตนแต่อย่างใด  ฎีกาของผู้ร้องคัดค้านฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน