โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยได้ทำหนังสือยกเรือนให้โจทก์ ๑ หลัง  เมื่อโจทก์จะไปอยู่ที่อื่น  ก็ให้รื้อถอนไปได้  และจำเลยมอบเรือนให้โจทก์ครอบครองตั้งแต่วันยกให้ตลอดมา  ต่อมาโจทก์จะรื้อเรือนไปอยู่ที่อื่น  จำเลยขัดขวาง  ขอให้พิพากษาว่าเรือนเป็นของโจทก์  ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า  การยกอสังหาริมทรัพย์ให้โจทก์โดยไม่ได้จดทะเบียนตกเป็นโมฆะ  และโจทก์ครอบครองเรือนพิพาทไม่ถึง ๑๐ ปี ไม่มีอำนาจรื้อถอน
ศาลชั้นต้นเห็นว่า  การให้ไม่สมบูรณ์เพราะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  โจทก์ไม่มีสิทธิรื้อถอนเรือนพิพาทของจำเลย  พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า  เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๑  จำเลยซึ่งเป็นพ่อผัวของโจทก์ได้ทำหนังสือสัญญายกเรือนให้แล้ว  โจทก์จำเลยและนายถมสามีโจทก์ซึ่งเป็นบุตรจำเลยก็ได้อยู่ในเรือนพิพาทด้วยกันมาจนกระทั่งนายถมตาย  ซึ่งตรงกับวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๐๒  เห็นว่า   แม้ในสัญญายกให้ที่จำเลยทำให้ไว้แต่โจทก์จะมีความว่า  จำเลยยินยอมให้โจทก์รื้อถอนเรือนพิพาทได้ในเมื่อไปอยู่ที่อื่นก็ดี  แต่ข้อเท็จจริงได้ความอยู่แล้วว่า  โจทก็กับสามีได้อยู่ที่เรือนหลังนี้ร่วมกับจำเลยตลอดมาเป็นเวลาปีเศษ  จึงเห็นได้ชัดว่าคู่สัญญามิได้เจตนาจะให้มีการรื้อเรือนไปในเวลาใกล้ชิดกับวันที่ทำสัญญายกให้  เมื่อเช่นนี้  เรือนพิพาทจึงยังหากลายสภาพเป็นสังหาริมทรัพย์ไม่  และยังคงมีสภาพเป็นอสังหาริมทรัพย์อยู่ดังเดิม
เมื่อเรือนพิพาทยังเป็นอสังหาริมทรัพย์  การยกให้แม้จะมีหนังสือสัญญาแต่มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามแบบที่กฎหมายบังคับ  การยกให้นั้นก็ไม่สมบูรณ์  ดังที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  บัญญัติไว้ในมาตรา ๕๒๕  ประกอบด้วยมาตรา ๔๕๖  ฉะนั้น  จึงต้องถือว่าสัญญาให้ของจำเลยในคดีนี้เป็นโมฆะตามมาตรา ๑๑๕
พิพากษายืน  ให้ยกฎีกาโจทก์