คดีทั้งสองสำนวนศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยเรียกจำเลยสำนวนแรกว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามฟ้อง และเรียกจำเลยสำนวนหลังว่าจำเลยที่ 3 โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนใจความทำนองเดียวกันขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 336 ทวิ,83 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5)พ.ศ. 2525 มาตรา 11 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21พฤศจิกายน 2514 ข้อ 13 ริบรถยนต์ของกลาง คืนไม้ยูคาลิปตัสของกลางให้เจ้าของ
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายโอภาส เผ่าชูศักดิ์ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในสำนวนแรก ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) (12) วรรคสาม, 336 ทวิ, 83 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 11ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 13จำคุกจำเลยคนละ 4 ปี 6 เดือน คืนไม้ยูคาลิปตัสของกลางแก่เจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลางเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดให้ริบ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยทั้งสามแล้วข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยที่ 1 สั่งให้คนงานตัดต้นยูคาลิปตัสเป็นจำนวน 1,350 ต้นบรรทุกรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 นำไปขายที่โรงงานไม้อัดไทยบางนาซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจยึดไว้เป็นของกลางมีปัญหาว่าต้นยูคาลิปตัสของกลางเป็นทรัพย์ของโจทก์ร่วมหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีตัวโจทก์ร่วมเป็นพยานเบิกความว่า ต้นยูคาลิปตัสของกลางเป็นของโจทก์ร่วมถูกลักตัดมาจากไร่ที่โจทก์ร่วมเช่าที่ดินของนางกฤษณา บุญเลิศนางกฤษณา บุญเลิศ พยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่า โจทก์ร่วมได้เช่าที่ดินจากนางกฤษณาปลูกต้นยูคาลิปตัส ต่อมาจำเลยที่ 3 นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินแปลงนี้เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ระหว่างวันที่ 3-4 ตุลาคม 2529 เวลากลางวัน นางกฤษณาเห็นรอยรถยนต์บรรทุก จึงเดินเข้าไปดูที่ดินดังกล่าวพบจำเลยที่ 1 และที่ 3อยู่ในที่ดินและคนงานกำลังตัดต้นยูคาลิปตัส นางกฤษณา จึงโทรศัพท์แจ้งโจทก์ร่วม นอกจากนี้โจทก์มีนายธวัช สุกทับ นายเหลือ กาจำนายประครอง จันจี่ นายถนอม กาจา นายวินัย สะหม และ นายบำรุงแก้วเลิศ เป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2ว่าจ้างให้พยานตัดต้นยูคาลิปตัสในที่ดินของโจทก์ร่วม โดยจำเลยที่ 1อ้างว่า ได้ยึดที่ดินและต้นยูคาลิปตัสแล้ว ส่วนจำเลยที่ 1 มีตัวจำเลยที่ 1 และ นายเสงี่ยม คำยา เป็นพยานเบิกความว่าจำเลยที่ 1ซื้อต้นยูคาลิปตัสจากนายเสงี่ยม แต่จำเลยที่ 2 เบิกความรับว่าต้นยูคาลิปตัสของกลางตัดจากที่ดินของโจทก์ร่วม ศาลฎีกาเห็นว่า พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกัน โดยเฉพาะพยานที่เป็นคนงานตัดต้นยูคาลิปตัสไม่มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลย เชื่อว่าพยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความตามจริง ส่วนจำเลยที่ 1 กับนายเสงี่ยมเบิกความเรื่องการซื้อขายต้นยูคาลิปตัสและการชำระเงินที่ลดราคาลงมาขัดกันไม่น่าเชื่อเป็นพิรุธ ทั้งจำเลยที่ 2 เบิกความเจือสมคำพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันว่าจ้างนายธวัชกับพวกตัดต้นยูคาลิปตัสของกลางจากที่ดินที่โจทก์ร่วมเช่าจากนางกฤษณาจริง แต่มีพฤติการณ์ตามคำของพยานโจทก์ว่า นางกฤษณาเป็นหนี้จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินที่โจทก์ร่วมเช่าจากนางกฤษณาเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ และนางกฤษณาเคยตกลงเอาต้นกล้าไม้ยูคาลิปตัสตีใช้หนี้จำเลยที่ 3ปรากฏรายละเอียดตามรายงานกระบวนพิจารณาเอกสารหมาย ล.1 แสดงให้เห็นว่า จำเลยทั้งสามมีเจตนาตัดต้นยูคาลิปตัสเพื่อใช้หนี้จำเลยที่ 3 และเนื่องจากโจทก์ร่วมกับนางกฤษณาเป็นสามีภรรยามีบุตรด้วยกันย่อมทำให้จำเลยเข้าใจว่าต้นยูคาลิปตัสเป็นของนางกฤษณา จำเลยทั้งสามจึงร่วมกันเอาต้นยูคาลิปตัสของโจทก์ร่วมไปโดยไม่มีเจตนาทุจริต จำเลยทั้งสามจึงไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ตามฟ้อง..."
พิพากษายืน.