โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 4, 5, 6, 7, 69, 74, 74 ทวิ, 74 จัตวา ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91, 137 ริบของกลาง กับให้จ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับตามกฎหมาย
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 1 หลบหนี ศาลชั้นต้นออกหมายจับและจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความชั่วคราว
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 69 วรรคสอง (2) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูป จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ริบของกลาง ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3
โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ สำหรับความผิดต่อเจ้าพนักงาน โจทก์อุทธรณ์โดยอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 5 รักษาการในตำแหน่งอธิบดีอัยการสำนักงานคดีศาลสูงภาค 5 ซึ่งอัยการสูงสุดได้มอบหมายรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แผนกคดีสิ่งแวดล้อมพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 อีกกระทงหนึ่ง จำคุก 1 เดือน เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานอื่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 2 ปี 1 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้เป็นยุติว่า ในวัน เวลา และสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานร่วมกันจับกุมจำเลยที่ 1 พร้อมยึดไม้ประดู่อันยังมิได้แปรรูป 12 ท่อน ปริมาตร 9.88 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งบรรทุกอยู่บนรถบรรทุกหกล้อ คันหมายเลขทะเบียน 70-6209 เชียงใหม่ เป็นของกลาง ตามบันทึกการตรวจสอบ/ตรวจยึด-จับกุม โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ว่าจ้างให้จำเลยที่ 1 ขนไม้ดังกล่าว ต่อมาจำเลยที่ 2 เข้าพบเจ้าหน้าที่ป่าไม้และแจ้งว่า ไม้ประดู่ของกลาง 12 ท่อน เป็นไม้ที่จำเลยที่ 2 ซื้อมาจาก ม. ซึ่งเป็นไม้เสาบ้านเก่าของ ม. เมื่อ ม. รื้อบ้านเก่าเพื่อสร้างบ้านใหม่ จึงได้ขายเสาไม้ประดู่ของกลางให้แก่จำเลยที่ 2
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยสำหรับข้อหาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งจำเลยที่ 2 ต่อสู้ว่า การแจ้งดังกล่าวเป็นการแจ้งในฐานะเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยย่อมแจ้งอย่างใดก็ได้ไม่เป็นความผิดนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 2 แจ้งแก่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2560 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยที่ 1 ถูกจับกุมพร้อมไม้ประดู่ 12 ท่อน ของกลาง โดยแจ้งว่าไม้ของกลางเป็นไม้ที่ซื้อมาจาก ม. ขณะนั้นเจ้าพนักงานยังไม่ได้จับกุมหรือแจ้งข้อกล่าวหาแก่จำเลยที่ 2 แต่อย่างใด เพียงแต่เป็นการสอบปากคำในฐานะพยานเท่านั้น การจับกุมผู้ต้องหาในวันที่ 25 พฤษภาคม 2560 มีเพียงการจับกุมจำเลยที่ 1 เพียงผู้เดียว ไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ด้วย เพิ่งมีการแจ้งข้อกล่าวหาแก่จำเลยที่ 2 ในภายหลังเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2560 ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 แจ้งแก่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ว่าไม้ของกลางเป็นไม้ที่ตนเองซื้อมาจาก ม. เป็นไม้เสาบ้านเก่าของ ม. ซึ่งไม่เป็นความจริง การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษามาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน