โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกับพวกที่หลบหนีร่วมกันฆ่าพลทหารฮะรง และพยายามฆ่าพลทหารการิยา กับพลทหารมะริเป็ง โดยจำเลยกับพวกมีเจตนาฆ่าพลทหารทั้งสามโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 289(4), 80, 83 และริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4), 80, 83 เป็นความผิดหลายบท ลงโทษตามมาตรา 289(4), 83ซึ่งเป็นบทหนัก ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสองกับพวกที่หลบหนีเป็นคนร้ายที่ฆ่าผู้ตายและพยายามฆ่าผู้เสียหายตามฟ้องจริง สำหรับปัญหาว่าจำเลยทั้งสองกับพวกมีเจตนาฆ่าผู้ตายกับพวกโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าสาเหตุที่จะเกิดคดีนี้เนื่องมาจากสิบตำรวจตรีสุนทรถูกทหารกลุ่มหนึ่งทำร้ายที่โรงแรมนายเทิ้มถึงสลบ จำเลยทั้งสองกับพวกซึ่งเป็นตำรวจโกรธแค้นทหารกลุ่มนั้น จำเลยที่ 1 กับพวกตำรวจจึงออกติดตามทหารกลุ่มนั้นไปที่โรงแรมนายเทิ้มแต่ไม่พบ แล้วจำเลยทั้งสองกับพวกออกติดตามอีกไปทางตลาด เมื่อพบทหารกลุ่มผู้ตายเดินตามถนน พลตำรวจบูรณะเบิกความว่า จำเลยที่ 2 ถามจำเลยที่ 1 ว่า พวกนี้ใช่ไหม จำเลยที่ 1 ว่าไม่รู้ รถแล่นผ่านเลยทหารไปแล้ว จำเลยที่ 2 บอกให้รถเลี้ยวกลับมาจอด หลังจากนั้นจึงลงจากรถทำร้ายผู้ตายกับพวก ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยทั้งสองกับพวกเตรียมการมีอาวุธมาเพื่อจะฆ่าทหารกลุ่มที่ทำร้ายสิบตำรวจตรีสุนทรเท่านั้น บังเอิญมาพบทหารกลุ่มอื่นเข้าจำเลยทั้งสองกับพวกเกิดความคิดที่จะฆ่าทหารกลุ่มที่พบในปัจจุบันทันที จึงเลี้ยวกลับ การฆ่าผู้ตายและพยายามฆ่าพลทหารการิยา พลทหารมะรีเป็งในกลุ่มผู้ตาย จึงมิได้เตรียมการมาก่อน จำเลยทั้งสองกับพวกหาได้มีเจตนาฆ่าผู้ตายกับพวกโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83 และ 288, 83, 80 ให้ลงโทษตามมาตรา 288, 83 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิตให้ยกฟ้องความผิดตามมาตรา 289(4) เสีย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์