โจทก์ฟ้องว่า  โจทก์เป็นภรรยานายกุลซึ่งได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว  ก่อนตายนายกุลได้เอาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งโจทก์เป็นเจ้าของร่วมอยู่ด้วยไปขายให้แก่จำเลยโดยไม่สุจริต  ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนหนังสือสัญญาซื้อขายและบังคับให้จำเลยส่งที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่าที่ดินแปลงพิพาทที่นายกุลสามีโจทก์ขายให้จำเลยพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างนั้น  การซื้อขายสมบูรณ์ตามกฎหมาย  พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาฎีกาโจทก์ที่ว่าโจทก์มีชื่อในใบไต่สวนสำหรับที่รายพิพาทร่วมกับนายกุลสามีอยู่แล้ว  จึงถือว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโรงเรือนรายพิพาทรวมกับนายกุล ๆ เอาไปจำหน่ายเสียแต่ลำพัง  จึงไม่ชอบนั้น  ข้อนี้โจทก์เองเบิกความรับว่า  โจทก์กับนายกุลสามีไม่ได้ทำหนังสือสัญญากันระหว่างกันว่าให้โจทก์เป็นผู้จัดการสินบริคณห์ด้วย  ศาลฎีกาเห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๔๖๗  และมาตรา ๑๔๗๔  เมื่ออ่านรวมกันแล้วก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าสินบริคณห์ที่มีเอกสารเป็นสำคัญ  การจำหน่ายสินบริคณห์จึงจะต้องเข้าชื่อด้วยทั้งสองคน  ปัญหามีว่า  ใบไต่สวนที่โจทก์มีชื่อร่วมด้วยนั้นเป็นเอกสารสำคัญหรือไม่  ประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๑ ให้บทนิยามใบไต่สวนไว้ว่า  หมายความว่าหนังสือแสดงการสอบสวนเพื่อออกโฉนดที่ดินและให้หมายความรวมถึงใบนำด้วย  จึงเห็นได้ว่าใบไต่สวนหาใช่เอกสารสำคัญที่จะแสดงว่าผู้มีชื่อในใบไต่สวนเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ตามความหมายของคำว่าเอกสารสำคัญในประมวบกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๔๖๗ และ ๑๔๗๔ ไม่  นายกุลสามีโจทก์จึงมีอำนาจจำหน่ายสินบริคณห์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๑๔๗๓  ฎีกาข้อนี้ของจำเลยจึงฟังไมี่ขึ้น
พิพากษายืน  ให้ยกฎีกาโจทก์