โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย  ได้ปลูกสร้างอาคารรุกล้ำเข้าไปในแนวเขตถนนสาธารณะ  จึงขอพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน  ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเกี่ยวข้องและบังคับให้รื้อถอนอาคารที่รุกล้ำออกไป
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า  ที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน  ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง  กับให้จำเลยรื้อถอนอาคารบ้านเรืองในส่วนที่รุกล้ำออกไปจากที่พิพาท
จำเลยอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา  ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาในข้อกฎหมายเท่านั้น
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามศาลอุทธรณ์ว่า  ที่พิพาทนี้เป็นถนนสาธารณะ  ซึ่งพลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกัน  และเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน  อยู่ในเขตเทศบาลเมืองสตูล  ซึ่งมีนายเขตต์  ฉัตรศิริ  เป็นนายกเทศมนตรี  ทั้งฟังว่าจำเลยได้ปลูกสร้างอาคารรุกล้ำเข้าไปในถนนสาธารณะดังฟ้องด้วย
ปัญหามีว่า  โจทก์จะมีอำนาจฟ้องจำเลยคดีนี้หรือไม่  เห็นว่าฟ้องโจทก์ขึ้นต้นด้วยคำว่า  "นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองสตูล  โดยนายเขตต์  ฉัตรศิริ  โจทก์"  เช่นนี้ก็หมายความว่าฟ้องในนามของเทศบาล  ไม่ใช่นายเขตต์ฟ้องเป็นส่วนตัว  อนึ่ง  ตามพระราชบัญญัติเทศบาล  พ.ศ. ๒๔๙๖  มาตรา ๗  ก็ระบุว่า  ให้เทศบาลเป็นทบวงเมือง  มีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้และกฎหมายอื่น  เช่นนี้  จำเลยจะเถียงว่าเทศบาลเมืองสตูลไม่ใช่ทบวงการเมือง  จึงฟังไม่ได้  เมื่อเทศบาลเป็นทบวงการเมืองและเป็นนิติบุคคล  ตามคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดิน  มาตรา ๘  ก็ได้มอบอำนาจหน้าที่ให้เทศบาลดูแลรักษาดำเนินการคุ้มครองป้องกันที่ดิน  ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่อยู่ในเขตเทศบาลนั้นด้วย  เช่นนี้  ก็หมายความว่า  รวมทั้งให้มีอำนาจฟ้องร้องคดีผู้ที่บุกรุกด้วย  ฉะนั้น  เมื่อถนนสาธารณะนี้อยู่ในเขตเทศบาลเมืองสตูลอันอยู่ในความควบคุมดูแลรักษาของเทศบาลเมืองสตูลโดยนายเขตต์  ฉัตรศิริ  นายกเทศมนตรี  จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยในนามเทศบาลได้  ข้อโต้เถียงของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน  ให้ยกฎีกาจำเลย