คดีสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยกับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยศาลชั้นต้นนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2542 ครั้นถึงวันนัดคู่ความไม่มาศาล ศาลชั้นต้นจึงได้จดแจ้งไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาว่า นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ไม่มีคู่ความมาศาล งดอ่านแต่ถือว่าคู่ความทราบคำพิพากษาแล้ว ต่อมาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2544 จำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยเพิ่งทราบว่าศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาแล้วเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2543 เนื่องจากปรากฏว่าเจ้าพนักงานศาลได้นำหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปปิดที่เขตบางพลัดอันเป็นทะเบียนบ้านกลาง ซึ่งมิใช่ภูมิลำเนาของจำเลย ความจริงแล้วจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 123/5 หมู่ที่ 5 ตำบลบางกะดี อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี การส่งหมายนัดดังกล่าวจึงเป็นไปโดยมิชอบ ทำให้จำเลยเสียสิทธิในการยื่นฎีกา ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องและมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยยื่นฎีกาต่อศาลต่อไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้จำเลยมีทนายความ 2 คน ตามที่ได้มีหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้นายสุพจน์ พุกพบสุข ทนายจำเลยโดยวิธีปิดหมายถือได้ว่าการส่งหมายให้ทนายจำเลยและการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นการชอบแล้ว จำเลยจะอ้างว่าไม่ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่อาจรับฟังได้ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ถึงแก่กรรม นางวิไลวรรณ วัฒนสิน ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ในวันนัดสืบพยานจำเลยซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อน นัดที่ 4 วันที่ 8 มิถุนายน 2541 นายสุพจน์ พุกพบสุข ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอถอนตัวจากการเป็นทนายความ อ้างว่ามีความคิดเห็นไม่ตรงกับตัวจำเลย ทนายโจทก์แถลงคัดค้านการขอเลื่อนคดี เนื่องจากจำเลยขอเลื่อนคดีมาหลายครั้งแล้ว ศาลชั้นต้นเห็นว่า พฤติการณ์ของฝ่ายจำเลยดังกล่าวเป็นการประวิงคดีจึงถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบ โดยไม่ได้สั่งอนุญาตให้ทนายจำเลยถอนตัวจากการเป็นทนายความ แล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี จำเลยอุทธรณ์ ในการส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นได้ส่งหมายนัดไปให้ตัวจำเลยที่บ้านเลขที่ 31/1 ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางพลัด เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร อันเป็นทะเบียนบ้านกลาง ตามที่ปรากฏชื่อของจำเลยอยู่ในทะเบียนบ้านดังกล่าว และได้ส่งหมายนัดไปให้นายสุพจน์ทนายจำเลยที่สำนักงานของนายสุพจน์ ซึ่งสามารถส่งหมายนัดทั้ง 2 แห่งได้โดยวิธีปิดหมายโดยเฉพาะการส่งให้นายสุพจน์ เจ้าพนักงานศาลนำหมายนัดไปส่งเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2541 ไม่พบนายสุพจน์ แต่พบชายอายุประมาณ 40 ปี แจ้งว่านายสุพจน์ไปธุระ เจ้าพนักงานศาลจึงได้ปิดหมายไว้ ณ สำนักงานของนายสุพจน์ ครั้นถึงวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2542 ไม่มีคู่ความมาศาล ศาลชั้นต้นจึงให้งดการอ่านและให้ถือว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้อ่านตามกฎหมายแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า การที่นายสุพจน์ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอถอนตัวจากการเป็นทนายความนั้น ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งอนุญาตแต่อย่างใดซึ่งตราบใดที่ศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำสั่งอนุญาตให้ถอนตัว ทนายจำเลยก็ยังมีฐานะเป็นคู่ความอยู่ นอกจากนี้หลังจากจำเลยแต่งตั้งให้นายสุพจน์เข้ามาเป็นทนายความจำเลยก็ไม่เคยแถลงให้ศาลทราบว่าไม่ต้องการให้นายสุพจน์เป็นทนายความของจำเลยต่อไป หรือยื่นคำร้องขอถอนนายสุพจน์จากการเป็นทนายความ ดังนั้น ในขณะที่มีการส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้นายสุพจน์ นายสุพจน์จึงยังเป็นทนายความของจำเลยอยู่ และมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลยได้ ที่จำเลยฎีกาอ้างว่า หลังจากนายสุพจน์ยื่นคำร้องขอถอนตัวแล้ว นายสุพจน์ไม่เคยติดต่อกับจำเลยอีก และนายสุพจน์ได้แจ้งการถอนตัวให้จำเลยทราบแล้วนั้น ข้ออ้างดังกล่าวไม่ทำให้นายสุพจน์พ้นจากการเป็นทนายความของจำเลยได้ เมื่อเจ้าพนักงานศาลนำหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปส่งให้นายสุพจน์โดยวิธีปิดหมาย จึงเป็นส่งหมายนัดโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรคหนึ่ง ถือว่านายสุพจน์ทนายจำเลยได้ทราบกำหนดวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว แม้จะมีการส่งหมายนัดไปให้จำเลยที่ทะเบียนบ้านกลาง ก็ไม่เป็นผลให้การส่งหมายนัดให้ทนายจำเลยดังกล่าวไม่ชอบไปด้วย ดังนั้น การที่ฝ่ายจำเลยไม่ไปฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และศาลชั้นต้นถือว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้อ่านตามกฎหมายจึงชอบแล้ว คดีไม่จำต้องไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นฎีกาของจำเลยแต่อย่างใด ที่ศาลล่างทั้งสองให้ยกคำร้องของจำเลย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน