โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่  1  เป็นกำนัน ได้บังอาจร่วมกับจำเลยที่  2  ซึ่งเป็นราษฎรธรรมดา เรียกนายฉ่ำ ปิ่นแก้ว ไปพบที่บ้านจำเลยที่  1  แล้วจำเลยทั้งสองได้กล่าวหาว่านายฉ่ำใช้อาวุธปืนยิง พยายามฆ่าจำเลยที่  2   แล้วจำเลยที่  1  ใช้อำนาจในตำแหน่งร่วมกับจำเลยที่  2   บังคับให้นายฉ่ำให้หาเงินให้  4,000  บาท มามอบให้ แล้วจำเลยจะปล่อยตัวไปถ้าไม่ให้เงินก็จะส่งไปดำเนินคดี นายฉ่ำกลัวจึงตกลงให้เงินจำเลยไป  2,700  บาท  แล้วจำเลยทั้งสองจึงปล่อยตัวนายฉ่ำไปขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 148, 310, 337
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามมาตรา 148  แต่เฉพาะจำเลยที่  2  เป็นเพียงผู้สนับสนุนตามมาตรา 86  ลดโทษแล้วคงจำคุกจำเลยที่  1  สามปีสี่เดือนจำเลยที่  2  สองปีหนึ่งเดือนยี่สิบวัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่  2  ถูกผู้เสียหายยิง แล้วไปแจ้งความต่อจำเลยที่  1  การที่จำเลยที่  2  เรียกร้องเอาเงินจากผู้เสียหายเพื่อตกลงเลิกคดีนั้น เห็นว่าจำเลยที่  2  ไม่มีความผิด เพราะไม่มีเจตนาทุจริต ตามนัยฎีกาที่ 426/2482 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดร้อยเอ็ดโจทก์ นายจอม ลาขุนเหล็ก กับพวก จำเลยทั้งจำนวนเงินที่เรียกร้องและที่ตกลงยินยอมให้กัน ก็ไม่เกินสมควรกับที่จำเลยที่  2ต้องเสี่ยงกับความตายและได้รับบาดเจ็บและจำเลยที่  1  ไม่ได้มีเจตนาทุจริตที่จะบังคับขู่เข็ญตามฟ้องโจทก์แต่อย่างใดจำเลยที่  1   ไม่มีความผิดเช่นกัน พิพากษากลับ (ที่ถูกต้องเป็นแก้) คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมานั้น ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองได้สมคบร่วมกันทำการขู่เข็ญขืนใจผู้เสียหายแต่อย่างใด การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นกำนันได้พูดกับผู้เสียหายว่าถ้าไม่ยอมให้เงินแก่จำเลยที่ 2  ก็จะส่งไปอำเภอจะต้องเสียเงินมากกว่านี้นั้น หาใช่คำขู่เข็ญแต่อย่างใดไม่ เพราะจำเลยอาจเห็นว่าถ้าผู้เสียหายตกลงกับจำเลยที่ 2 ไม่ได้ จำเลยที่ 1  ก็ต้องส่งตัวผู้เสียหายไปอำเภอซึ่งจำเลยที่ 1 คิดว่าถ้าเรื่องดำเนินต่อไปผู้เสียหายจะสิ้นเปลืองเงินมาก จึงได้พูดเป็นทำนองไกล่เกลี่ยให้เลิกแล้วต่อกันก็ได้ ส่วนคดีสำหรับตัวจำเลยที่ 2 นั้น  ตามพฤติการณ์ที่ได้ความในเวลานั้น ผู้เสียหายก็เข้าใจว่าบาดแผลของจำเลยที่ 2  นั้น คงเนื่องมาจากอาวุธปืนของผู้เสียหาย ในฐานที่จำเลยที่  2 ถูกยิงมีบาดเจ็บ จำเลยจึงขอให้ผู้เสียหายชดใช้ค่าเสียหาย แล้วจำเลยจะไม่เอาความ เป็นเรื่องระหว่างจำเลยที่  2  และผู้เสียหายต่อรองกัน แม้จำเลยจะพูดว่า ถ้าไม่ยอมให้เงินแล้ว จำเลยจะขอให้ส่งตัวผู้เสียหายไปอำเภอ ซึ่งตามรูปเรื่องก็เป็นที่เข้าใจกันว่าเพื่อดำเนินคดีต่อไปเท่านั้น  หาใช่เรื่องแกล้งกล่าวหาเพื่อจะขู่กรรโชกเอาเงินจากผู้เสียหายแต่อย่างใดที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีเจตนาทุจริตนั้นชอบแล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 ได้รับประโยชน์จากจำเลยที่  2   เป็นเงิน  700  บาท แสดงว่าจำเลยทั้งสองได้มีเจตนาทุจริตร่วมกันขู่เข็ญเอาเงินจากผู้เสียหายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ 1 หาได้รับเงินจากจำเลยที่ 2  ดังโจทก์ฎีกาขึ้นมาไม่ กลับปรากฏว่าจำเลยที่ 1  ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเงินจำนวนนี้แต่อย่างใดเลย
พิพากษายืน