โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 334, 335, 336 ทวิ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) วรรคแรก ประกอบมาตรา 80 จำคุก 2 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้เป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง นายพงษ์เทพ ผู้เสียหาย ขับรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ 125 หมายเลขทะเบียน พษร กรุงเทพมหานคร 842 ซึ่งเช่าซื้อมาจากบริษัทอินเตอร์บางจาก จำกัด ไปทำงานที่คลังสินค้า 4 ในท่าอากาศยานดอนเมือง แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร โดยล็อกคอรถจักรยานยนต์ไว้ที่บริเวณสถานีบริการน้ำมันการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เยื้องกับคลังสินค้า 4 ต่อมาผู้เสียหายกับพวกพบจำเลยอยู่บริเวณที่จอดรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย และจำเลยจับแฮนด์รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายในที่เกิดเหตุ จำเลยจึงถูกผู้เสียหายกับพวกจับกุมตัวนำส่งเจ้าพนักงานตำรวจ ชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาจำเลยว่าร่วมกับพวกพยายามลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะ จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีนายสถาพรและนายวิษวัฒน์เป็นพยานเบิกความว่า ขณะที่นายสถาพรขับรถจักรยานยนต์มาหาผู้เสียหายที่คลังสินค้า 4 เขตดอนเมือง นายสถาพรจอดรถจักรยานยนต์ที่สถานีบริการน้ำมันการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ซึ่งอยู่ห่างจากคลังสินค้า 4 ประมาณ 200 เมตร เห็นจำเลยกำลังใช้กุญแจไขคอรถจักรยานยนต์คันหนึ่งอยู่ นายสถาพรจึงขับรถจักรยานยนต์ไปที่คลังสินค้า 4 พบนายวิษวัฒน์ จึงบอกนายวิษวัฒน์ให้ช่วยดูว่าจำเลยกำลังทำอะไรอยู่ นายวิษวัฒน์มองไปเห็นจำเลยกำลังใช้มือจับแฮนด์รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายอยู่ ซึ่งมีลักษณะกระแทกคอรถจักรยานยนต์ไปมา พยานทั้งสองจึงโทรศัพท์แจ้งผู้เสียหาย และมีนายพงษ์เทพ ผู้เสียหาย เป็นพยานเบิกความว่า ในคืนเกิดเหตุเพื่อนของพยานโทรศัพท์มาแจ้งว่ารถจักรยานยนต์ของพยานถูกงัด พยานจึงวิ่งออกไปดู เมื่อวิ่งมาถึงที่จอดรถจักรยานยนต์พบนายสถาพรและนายวิษวัฒน์ และเห็นจำเลยกำลังใช้มือจับแฮนด์รถจักรยานยนต์และใช้เท้ากระทืบบริเวณบังโคลนหน้าของรถ พยานกับพวกจึงล็อกตัวจำเลยไว้ แม้ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืนแต่ก็ได้ความจากพยานโจทก์ทั้งสามว่า บริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างจากไฟสปอทไลท์ที่ติดตั้งอยู่บริเวณคลังสินค้า 4 และไฟฟ้าสาธารณะบริเวณใกล้เคียงที่เกิดเหตุ เชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสามสามารถมองเห็นจำเลยด้วยแสงไฟดังกล่าว ประกอบกับพยานโจทก์ทั้งสามไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนในวันเกิดเหตุทันที ยากที่จะสร้างเรื่องเพื่อปรักปรำจำเลยโดยที่ไม่เป็นความจริง นอกจากนี้โจทก์ยังมีพันตำรวจโทเตชวัตร พนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า ขณะที่พยานปฏิบัติหน้าที่พนักงานสอบสวนเวร มีผู้เสียหายกับพวกมาแจ้งความว่าผู้เสียหายกับพวกจับจำเลยได้ขณะที่กำลังใช้มือหักคอรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงที่ว่าพยานโจทก์ทั้งสามเห็นจำเลยอยู่ตรงบริเวณรถจักรยานยนต์และใช้มือจับแฮนด์รถจักรยานยนต์กระแทกคอรถไปมา จึงมีน้ำหนักรับฟังเป็นความจริงได้ จากทางนำสืบของโจทก์คงได้ความจากนายวิษวัฒน์และพันตำรวจโทเตชวัตร พนักงานสอบสวนพยานโจทก์เบิกความว่าในชั้นสอบสวนจำเลยให้การว่าไม่ได้ต้องการลักรถจักรยานยนต์ เพียงแต่ต้องการลักแฮนด์รถจักรยานยนต์เท่านั้น ซึ่งก็สอดคล้องกับบันทึกคำให้การของจำเลยที่ให้การในวันเกิดเหตุทันทียังไม่มีเวลาคิดปั้นแต่งเรื่องราว น่าเชื่อว่าจำเลยมีเจตนาลักแฮนด์รถจักรยานยนต์จริง แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันพยายามลักรถจักรยานยนต์ก็ตาม แต่เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยพยายามลักแฮนด์รถจักรยานยนต์ ก็ไม่ถือว่าข้อแตกต่างนั้นเป็นข้อสาระสำคัญ เพราะแฮนด์รถจักรยานยนต์ถือเป็นอุปกรณ์ของรถจักรยานยนต์ และการกระทำของจำเลยที่จับแฮนด์รถจักรยานยนต์กระแทกคอรถไปมาเป็นการกระทำต่อตัวรถจักรยานยนต์ที่มุ่งประสงค์จะลักแฮนด์รถจักรยานยนต์เป็นอย่างเดียวกันหาใช่เป็นทรัพย์คนละชิ้นคนละอันกันไม่ ที่จำเลยนำสืบว่า หลังเลิกงานนัดพบกับนายศราวุธแต่ไม่พบ จึงเดินหารถของนายศราวุธในบริเวณที่เกิดเหตุและถูกพวกของผู้เสียหายจับกุมตัวไว้ ก็ไม่ถือว่าจำเลยหลงต่อสู้ ศาลจึงสามารถลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความได้ หาเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสองและวรรคสี่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน อย่างไรก็ตามเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยพยายามลักแฮนด์รถจักรยานยนต์ มิใช่พยายามลักรถจักรยานยนต์ จึงเห็นควรลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี
พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) วรรคแรก ประกอบมาตรา 80 จำคุก 1 ปี คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 8 เดือน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก