สำนวนแรก โจทก์ฟ้องคดีอาญาขอให้ลงโทษนายเพียวจำเลยฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้โจทก์และเป็นลูกหนี้ธนาคารซึ่งโจทก์เป็นผู้ค้ำประกัน ได้มีเจตนาทุจริตโอนรถยนต์ 1 คันไปยังนายเกียรติ เพื่อมิให้โจทก์และธนาคารได้รับชำระหนี้ เพื่อให้พ้นจากการยึด อายัดหรือการบังคับคดีโดยจำเลยทราบดีว่าไม่มีทรัพย์อื่นจะชำระหนี้โจทก์ได้ และผู้รับโอนก็มิได้เสียค่าตอบแทน เป็นการสมยอมกันเพื่อฉ้อโกงโจทก์
นายเพียวจำเลยให้การปฏิเสธ
สำนวนหลัง โจทก์ฟ้องนายเพียวกับนายเกียรติเป็นคดีแพ่ง โดยบรรยายฟ้องอย่างคดีแรก และมีคำขอให้เพิกถอนชื่อนายเกียรติ จำเลยที่ 2 ออกจากทะเบียนรถยนต์ดังกล่าวแล้วใส่ชื่อนายเพียว จำเลยที่ 1ต่อไป ถ้าไม่ทำตามก็ขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นหลักฐานการโอน
นายเพียวจำเลยที่ 1 ให้การว่าเป็นลูกหนี้จริง แต่จำเลยเช่าซื้อรถยนต์จาก ร.ส.พ.ยานยนต์ โดยเป็นตัวแทนจำเลยที่ 2 เงินที่ชำระก็เป็นของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ให้การอย่างเดียวกันและว่าไม่ทราบถึงหนี้สินระหว่างโจทก์และธนาคารกับจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาและพิพากษาว่า นายเพียวจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ให้จำคุก 3 เดือน และให้นายเกียรติจำเลยโอนรถยนต์ให้เป็นของนายเพียวจำเลย ถ้าไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้ง 2 อุทธรณ์ทั้ง 2 สำนวน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้ง 2 ฎีกาทั้ง 2 สำนวน โดยนายเพียวจำเลยฎีกาข้อกฎหมายในคดีอาญา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงปรากฏว่านายเพียวจำเลยเช่าซื้อรถยนต์ กรรมสิทธิ์ยังเป็นของผู้ให้เช่าซื้ออยู่ ต่อมานายเพียวผิดสัญญาเช่าซื้อ การที่นายเกียรติรับโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์มาก็โดยรับโอนจากผู้ให้เช่าซื้อ หาใช่รับโอนจากนายเพียวจำเลยตามฟ้องไม่ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะบังคับให้นายเกียรติจำเลยในคดีแพ่งโอนรถยนต์ให้แก่นายเพียวจำเลยตามคำขอในคดีแพ่งไม่ได้เพราะนายเพียวเพียงแต่เช่าซื้อมา หากเพิกถอนได้ก็จะต้องกลับคืนไปเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าซื้อตามเดิม
จึงพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้ง 2 สำนวน