จำเลยทั้งสองเป็นสามีภรรยากันเป็นเจ้าของเช่าห้องค้าโลงใส่ศพ  ต่อมาสามีไปประเทศจีน นางเซียมเองภริยาก็ยังทำการค้าอยู่  ต่อมาทำสัญญาให้โจทก์เช่าช่วงตั้งร้านดัดผม  โดยนางเซียมเองภริยาเป็นเจ้าของเครื่องอุปกรณ์ต่างๆ โจทก์ก็เพียงออกหน้าทำการดัดเท่านั้น  เพราะนางเซียมเองเป็นชนต่างด้าวห้ามตามกฎหมายมิให้ประกอบอาชีพนี้ในขณะนั้น สามีจำเลยกลับมาและบอกล้างสัญญานั้น โจทก์จึงฟ้องคดีนี้
ศาลล่างทั้ง  ๒ เห็นว่าการที่สามีไปต่างประเทศมิได้ละทิ้งภรรยาๆ ไม่มีอำนาจทำสัญญาให้โจทก์เช่าห้องโดยลำพัง เมื่อสามีบอกล้างแล้วสัญญานั้นก็ตกเป็นโมฆะ และสัญญาตั้งร้านดัดผมก็เป็นนิติกรรมอำพราง  พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าแม้ทำสัญญาเช่ากันจริง  การไปต่างประเทศของสามีก็มิได้เป็นการละทิ้งภริยา ภริยาจึงไม่มีสิทธิทำสัญญาเช่าช่วงห้องอันเป็นกรผูกพันสินบริคณห์โดยมิได้รับอนุญาตจากสามีก่อน  สามีมีสิทธิ์บอกล้างสัญญานั้นได้ และแม้จะฟังว่าสามีอนุญาตให้ทำการค้าโรงใส่ศพก็ตาม  สัญญาเช่าช่วงก็มิได้อยู่ในขอบแห่งกิจการค้าของโลงศพแต่อย่างได  จึงมิได้ตกอยู่ในบทบัญญัติแห่งประมวลแพ่ง ฯ ม.๔๑ วรรค ๑ และฟังว่าการตั้งร้านดัดผมระหว่างนางเซียมเองกับโจทก์  เป็นเพียงให้โจทก์บังหน้าในการที่นางเซียมเองจะเปิดร้านดัดผม จึงพิพากษายืน