คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสมคบกันมีไม้สักแปรรูป มีเนื้อไม้ ๓.๑๔ เมตรลูกบาศก์ไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานและนำเคลื่อนที่โดยไม่มีใบเบิกทาง ขอให้ลงโทษ
จำเลยทั้งสองรับว่า มีไม้สักแปรรูปจำนวนดังฟ้อง แต่การกระทำของจำเลยไม่เป็นผิดเพราะไม้สักดังกล่าวมิใช่ไม้หวงห้าม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔๘ กะทงเดียว และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าฎีกาข้อ ก.ของจำเลยที่คัดค้านว่าฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๕๘(๒) เพราะไม่กล่าวรายละเอียดในฟ้องว่าไม้สักของกลางเป็นไม้หวงห้ามหรือไม่นั้น พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๗ ที่แก้ไขใหม่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.๒๔๙๔ มาตรา ๔ นั้น ไม้สักเป็นไม้หวงห้ามทั้งสิ้น ฉะนั้นโจทก์จึงไม่จำต้องกล่าวในฟ้องว่าไม้สักของกลางในคดีนี้เป็นไม้หวงห้าม
และเห็นว่าการมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองกิน ๐.๒๐ เมตรลูกบาศก์ภายในเขตต์ควบคุมการแปรรูปไม้โดยมิได้รับอนุญาตเป็นการผิดพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.๒๔๘๔ มาตรา ๔๘ ฉะนั้นไม้ของกลางในคดีนี้จึงเป็นไม้ที่มีไว้หรือได้มาเนื่องจากการกระทำผิดพระราชบัญญัติป่าไม้ ต้องริบพิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลย