โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นประธานและผู้จัดการบริษัทสหมิตรผ่านศึก จำกัด มีหน้าที่จัดซื้อและขายสินค้าอันเป็นธุระกิจ ของบริษัทผ่านศึก จำกัด และได้รับมอบหมายให้ดูแลรักษาทรัพย์ และเงินสดของบริษัทสหมิตรผ่านศึก จำกัด ระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๔๙๔ ถึงวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๔๙๔ จำเลยยักยอกเอาเงินของบริษัทสหมิตรผ่านศึก จำกัด ซึ่งจำเลยได้รับมอบหมายให้เก็บรักษา เป็นอาณาประโยชน์ส่วนตัวหลายครั้งเป็นเงิน ๔๖,๒๙๒ บาท ๖๕ สตางค์ ขอให้ลงโทษจำเลยตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๓๑๔,๓๑๙,
จำเลยให้การปฏิเสธ และต่อสู้ว่าฟ้องเคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๓๑๔ ให้จำคุก ๒ ปี
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว เห็นว่าโจทก์น่าจะบรรยายรายการละเอียด อันเป็นสาระสำคัญให้ปรากฎในสำนวนโดยแจ้งชัดว่า จำเลยยักยอกเงินรายไหนประเภทใด จดรายการในบัญชีเงินค่า อะไรเพราะโจทก์รู้รายการละเอียดเหล่านี้ ในสำนวนการสอบสวนคดีอยู่แล้ว ดังปรากฎตามผลของการตรวจบัญชีที่โจทก์ยื่นต่อศาล จำเลยจะได้มีโอกาศแก้ข้อหาได้เต็มที่ เมื่อโจทก์ไม่ให้โอกาศจำเลยเข้าใจ และทราบรายการละเอียดในฟ้อง จำเลยย่อมเสียเปรียบในการต่อสู้คดี ได้ชื่อว่าเป็นฟ้องเคลือบคลุม ฯลฯ
จึงพิพากษายืน