โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 264, 268, 277, 283 ทวิ, 317
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นาย ส. ผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าเสียหายต่ออำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 2 กับค่าเสียหายต่อร่างกายและจิตใจของผู้เสียหายที่ 1 รวมเป็นเงิน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันกระทำความผิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง
จำเลยที่ 1 ไม่ให้การในคดีส่วนแพ่งจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง, 283 ทวิ วรรคสอง (เดิม), 317 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม (เดิม) จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคหนึ่ง (เดิม) จำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิดขณะอายุ 19 ปี และ 18 ปีเศษ ตามลำดับ ลดมาตราส่วนโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 หนึ่งในสาม การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร กับฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 5 ปี 4 เดือน ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม กับฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 ปี 8 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 11 ปี 12 เดือน ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี และปรับ 8,000 บาท คำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 1 และทางนำสืบของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่ง จำเลยที่ 2 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 5 ปี 12 เดือน จำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี 8 เดือน และปรับ 5,333.33 บาท กรณีมีเหตุสมควรให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้มีกำหนด 2 ปี หากจำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ยกฟ้องข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 2 กับให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงิน 200,000 บาท จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินที่แต่ละคนต้องชำระ นับแต่วันที่ 8 สิงหาคม 2558 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 (ที่ถูก แก่ผู้ร้อง) กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 (ที่ถูก แทนผู้ร้อง)
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์เฉพาะคดีส่วนแพ่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 3 ฎีกาเฉพาะคดีส่วนแพ่ง โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยที่ 3 ได้รับอนุญาตให้ฎีกาเพียงว่า เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องคดีอาญาโดยฟังว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้ร่วมกระทำผิดด้วย แต่กลับพิพากษาให้จำเลยที่ 3 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในฐานะมารดาของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 429 เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสามต่างคนต่างกระทำความผิด และร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน โดยในส่วนของจำเลยที่ 3 นั้น โจทก์คงบรรยายฟ้องเพียงว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยปราศจากเหตุอันสมควรร่วมกันพรากผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากผู้ร้อง ผู้เป็นบิดา ผู้ปกครอง ผู้ดูแลเท่านั้น เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 3 ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกาในคดีส่วนอาญา ข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาจึงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 3 มิได้ร่วมกระทำความผิดตามฟ้องด้วย เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องเข้ามาในคดีนี้เพื่อขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชดใช้ค่าสินไหมทดแทน อันเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 จึงต้องฟังว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้กระทำละเมิดต่อผู้ร้อง ไม่จำต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ส่วนปัญหาว่าจำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วยหรือไม่นั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดอาญามีสิทธิยื่นคำร้องเข้ามาในคดีอาญาเพื่อให้ได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยไม่ต้องไปยื่นฟ้องเป็นคดีแพ่งอีก โดยกำหนดว่าคำร้องดังกล่าวต้องแสดงรายละเอียดตามสมควรเกี่ยวกับความเสียหายและจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่เรียกร้อง ซึ่งถือเป็นคำขอบังคับในส่วนแพ่ง ส่วนสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาต้องอาศัยข้อเท็จจริงตามคำฟ้องของพนักงานอัยการเป็นหลัก แต่กลับไม่ปรากฏในคำบรรยายฟ้องของพนักงานอัยการโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งขณะกระทำผิดอายุ 19 ปี และเป็นผู้เยาว์นั้นมีจำเลยที่ 3 เป็นมารดาของจำเลยที่ 1 ด้วยแต่อย่างใด เมื่อคำร้องของผู้ร้องถือเป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 วรรคสอง ที่ขอบังคับให้จำเลยที่ 3 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพียงกรณีที่ร่วมกันกระทำละเมิดฐานพรากผู้เสียหายที่ 1 เท่านั้น ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 วรรคท้าย บัญญัติว่า "คำร้องตามวรรคหนึ่งจะมีคำขอประการอื่นที่มิใช่คำขอบังคับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลยในคดีอาญามิได้ และต้องไม่ขัดหรือแย้งกับคำฟ้องในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์..." ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ค่าสินไหมทดแทนที่ผู้ร้องจะมีคำขอบังคับให้จำเลยที่ 3 ชดใช้แก่ผู้ร้องได้นั้น จะต้องเป็นค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดอาญาของจำเลยที่ 3 ตามที่ถูกฟ้องเท่านั้น ผู้ร้องไม่สามารถยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยที่ 3 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของบุคคลอื่นได้ และการที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 3 มิได้ร่วมกระทำความผิดตามฟ้องด้วย แต่กลับพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดในผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 429 ในฐานะมารดาซึ่งมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแล ปล่อยให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์พรากผู้เสียหายที่ 1 ไปเสียจากความปกครองของผู้ร้อง จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องของพนักงานอัยการและคำร้องของผู้ร้อง เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40 ด้วย ที่ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยที่ 3 ร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกับจำเลยที่ 1 ด้วยนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของผู้ร้อง ในส่วนจำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งชั้นฎีกาให้เป็นพับ