โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากัน ได้ร่วมกันกรอกข้อความลงในหนังสือมอบอำนาจว่า โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ยื่นคำขอจดทะเบียนขายที่ดินของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 1โดยไม่ได้รับความยินยอมหรือโดยฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ต่อมาจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันนำหนังสือมอบอำนาจอันเป็นเอกสารปลอมดังกล่าวไปใช้ เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่หลงเชื่อว่าเป็นหนังสือมอบอำนาจที่แท้จริง จึงจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมขายที่ดินตามเอกสารดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 268 และ 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยอัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้กู้ยืมเงินจากจำเลยที่ 1 จำนวน 500,000 บาท และทำหนังสือมอบอำนาจโดยมิได้กรอกข้อความมอบให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกัน แต่จำเลยที่ 1 กลับไปกรอกข้อความว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1โดยโจทก์มิได้ยินยอมและจำเลยที่ 1 นำหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวไปจดทะเบียน การที่โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันเงินกู้ แต่จำเลยที่ 1 กลับไปกรอกข้อความว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 อันเป็นการกระทำโดยไม่ได้รับความยินยอมหรือโดยฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์ และจำเลยที่ 1 ได้นำหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ จึงเป็นการปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมต้องมีความผิดตามฟ้องโจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นสามีของจำเลยที่ 1 และลงลายมือชื่อเป็นพยานในหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.2แสดงว่าจำเลยที่ 2 รู้เรื่องที่โจทก์กู้ยืมเงินจากจำเลยที่ 1 และทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันเงินกู้ดี ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในหนังสือมอบอำนาจที่จำเลยที่ 1 ได้กรอกข้อความโดยไม่ได้รับความยินยอมหรือโดยฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์ดังกล่าว พฤติการณ์ถือได้ว่าจำเลยที่ 2เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการปลอมหนังสือมอบอำนาจด้วยและการปลอมหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวก็โดยมีเจตนาจะนำไปใช้ในการจดทะเบียนโอนที่ดินมาเป็นของจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ได้ไปด้วยในวันที่นำหนังสือมอบอำนาจปลอมไปจดทะเบียนโอนที่ดินแต่เมื่อจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 มาตั้งแต่ต้นทั้งเป็นสามีภริยากันมีส่วนได้เสียในที่ดินที่รับโอน จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2เป็นตัวการร่วมในการใช้เอกสารปลอมด้วย ต้องมีความผิดตามฟ้องโจทก์เช่นกัน
พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 268 วรรคแรกประกอบด้วยมาตรา 264, 83 ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมแต่กระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรคสอง จำคุกคนละ 2 ปี ปรับคนละ 6,000 บาทคดีไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนเห็นสมควรให้โอกาสจำเลยทั้งสองกลับตัวสักครั้งหนึ่ง โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30