โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่บ้านของโจทก์และรื้อเรือนโจทก์ลงมากองไว้  ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๓๕๘, ๓๖๒, ๘๓
ต่อมาโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ ๓, ๔, ๕
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒  ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่าเรือนพิพาทน่าจะเป็นของโจทก์  มิใช่ของจำเลยที่ ๕  ซึ่งเป็นบุตรเขยโจทก์ดังที่จำเลยนำสืบ  จำเลยย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าเป็นเรือนของโจทก์ปลูกขวางถนนพัฒนาการ  ควรจะบอกให้โจทก์รื้อ  แต่จำเลยกลับรื้อเรือนโจทก์เอง  มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๓๕๘, ๓๖๒  แต่ให้ลงโทษตามมาตรา ๓๕๘  ซึ่งเป็นบทหนัก
โจทก์อุทธรณ์ไม่ให้รอการลงโทษจำเลยและลงโทษให้หนัก
จำเลยอุทธรณ์ว่าไม่ควรมีความผิด
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า  แม้จะฟังว่าเรือนพิพาทเป็นของโจทก์  และจำเลยกับพวกรื้อเรือนนี้ดังที่ศาลชั้นต้นฟัง  และมีเหตุฟังได้ว่าจำเลยเชื่อว่าเรือนที่รื้อเป็นของจำเลยที่ ๕  การกระทำของจำเลยต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๕๙  วรรค ๓ ไม่เป็นความผิด  เพราะไม่มีเจตนาพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  ปัญหามีว่า  ขณะรื้อเรือนนั้นโจทก์นำสืบได้หรือไม่ว่าจำเลยรู้ว่าเรือนเป็นของโจทก์  เห็นว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานเช่นว่านี้  ส่วนจำเลยมีเอกสาร  คือ  หนังสือที่จำเลยที่ ๕ ทำให้เจ้าพนักงานไว้ว่าจำเลยที่ ๕ จะรื้อเรือนพิพาทที่ปลูกขวางถนนที่จะตัดผ่านให้  และจำเลยที่ ๕ ก็ได้มาอยู่จัดการรื้อเรือนด้วย   ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่ ๑, ๒ (เป็นผู้ใหญ่บ้าน)  เป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตคิดว่าเรือนนี้เป็นของจำเลยที่ ๕  ซึ่งเป็นบุตรเขยโจทก์  ไม่มีความผิด
พิพากษายืน