โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแบ่งขายที่ดินตาม ส.ค.๑ ให้โจทก์และภริยาซึ่งเป็นบุตรของจำเลย เนื้อที่ ๑๓ ไร่ ๑ งาน ๒๘ ตารางวา ราคา ๔,๐๐๐ บาท โดยมิได้ทำหนังสือและจดทะเบียน จำเลยได้รับเงินและมอบ ส.ค.๑ กับที่ดินให้โจทก์ครอบครองแต่วันซื้อ เมื่อซื้อแล้วจำเลยถามโจทก์ว่าจะให้ใส่ชื่อใครเป็นเจ้าของที่ดิน โจทก์บอกให้ใส่ชื่อภริยา จำเลยจึงยื่นคำขอทำนิติกรรมขายที่ดินดังกล่าวให้ภริยาโจทก์ แต่แล้วกลับไม่ยอมทำสัญญาซื้อขาย ขอให้บังคับจำเลยไปทำนิติกรรมสัญญาซื้อขายและโอนที่ดินให้โจทก์หรือภริยาโจทก์
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปทำนิติกรรมโอนขายที่พิพาทตาม ส.ค.๑ เลขที่ ๗๘ เนื้อที่ ๑๓ ไร่ ๑ งาน ๒๘ ตารางวา ให้แก่โจทก์หรือภริยาโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เป็นการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เสร็จเด็ดขาดเมื่อไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๕๖ ศาลมีอำนาจยกข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยขึ้นวินิจฉัยได้ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ตกลงขายที่พิพาทจำนวนเนื้อที่ ๑๓ ไร่ ๑ งาน ๒๘ ตารางวา ให้แก่ภริยาโจทก์เป็นราคา ๔,๐๐๐ บาท จำเลยได้รับชำระราคาค่าที่ดินไปครบถ้วน โจทก์ได้เข้าครอบครองเป็นเจ้าของตลอดมา และจำเลยได้อพยพไปอยู่ที่อื่น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกเลย
ศาลฎีกาวินิจฉัยต่อไปว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า ไม่มีโฉนดหรือหนังสือสำคัญสำหรับที่แต่อย่างใด เมื่อจำเลยขายที่พิพาทให้ภริยาโจทก์ไปตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๕ โดยจำเลยได้อพยพไปอยู่เสียที่อื่นไม่ได้มาเกี่ยวข้องกับที่พิพาทแล้ว แสดงว่าจำเลยได้สละเจตนาครอบครองหรือไม่ยึดถือที่พิพาทต่อไป แต่เนื่องจากการซื้อขายรายนี้มีข้อตกลงกันว่า จำเลยจะไปทำนิติกรรมสัญญาซื้อขายและโอนที่ดิน ส.ค.๑ เลขที่ ๗๘ ให้ภริยาโจทก์ที่อำเภอ และจำเลยก็ได้ไปยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และการสอบสวนสิทธิในที่ดินประเภทขาย ตามเอกสารหมาย จ.๑ เพื่อจะโอนให้ภริยาโจทก์แล้วแต่จำเลยหาได้ไปจัดการจดทะเบียนโอนที่ดินให้ภริยาโจทก์ไม่จนทางอำเภอมีหนังสือเตือนให้จำเลยไปจัดการเสียแต่ก็ไม่ไป ดังนี้ โจทก์ชอบที่จะขอให้จำเลยไปจัดการจดทะเบียนโอนที่ดินตามข้อตกลงได้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น