โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิเป็นผู้เช่าห้องเลขที่ ๔๒๓/+ ถนนเจริญกรุง โดยได้เช่าจากกรมการศาสนา ผู้จัดการแทนวัดมังกรกมลาวาศเจ้าของ และได้รับมอบครอบครองมาตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๔๘๓ จนเมื่อราวต้นปี พ.ศ.๒๔๙๑ โจทก์ได้ออกไปจากห้องเช่าพิพาทชั่วคราวโดยวัดมังกรกมลาวาศขอร้อง เพราะจะซ่อมแซม และเมื่อซ่อมแซมเสร็จแล้วจะให้โจทก์กลับเข้าอยู่ใหม่ ต่อมาเมื่อทางวัดซ่อมเสร็จแล้วแต่มิได้แจ้งให้โจทก์ทราบ ปรากฎว่าจำเลยเข้าครอบครองอยู่ จึงขอให้บังคับขับไล่จำเลย
จำเลยต่อสู้ว่า ห้องเช่าพิพาทเป็นของวัดมงกรกมลาวาศ ทางวัดเรียกคืนจากผู้เช่าเดิม แล้วให้จำเลยเช่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ศาลชั้นต้นสืบพยานต่อไป แล้วพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ตกลงกับเจ้าของทรัพย์สินออกจากห้องรายพิพาทไปตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.๒๔๙๑ โดยอ้างว่าทางวัดจะซ่อมแซม โจทก์มาฟ้องจำเลยถึงเดือนมีนาคม ๒๔๙๓ เป็นเวลาถึง ๒ ปีเศษ ศาลฎีกาเห็นว่าสิทธิครอบครองของโจทก์ไม่มีแล้ว เพราะเต็มใจสละการครอบครองไป ส่วนสิทธิตามสัญญาเช่าที่ว่า เจ้าของทรัพย์สินตกลงว่าซ่อมแซมเสร็จแล้ว จะให้โจทก์เข้าอยู่ใหม่นั้น โจทก์ชอบที่จะไปว่ากล่าวเอากับเจ้าของทรัพย์สินที่ทำผิดข้อตกลงส่วนจำเลยนั้นเข้าอยู่โดยเจ้าของทรัพย์สินให้เข้าอยู่ โจทก์ไม่มีสิทธิในห้องพิพาทดีกว่าจำเลย
จึงพิพากษากลับศาลอุทธรณ์ บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น