โจทก์ฟ้องขอหย่าขาดจากจำเลย ซึ่งเป็นสามีและขอเป็นผู้อุปการะบุตร โดยกล่าวในฟ้องว่า ตั้งแต่อยู่กินด้วยกันมา จำเลยไม่เคยให้ความอุปการะเลี้ยงดูเยี่ยงสามีภริยาทั้งหลาย ได้กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรงโดยจำเลยเที่ยวพูดว่าโจทก์เป็นแต่เพียงนางบำเรอ ไม่ใช่ภริยาของจำเลย และหาว่าจำเลยประพฤติไม่ดี มีชู้
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่ภริยาของจำเลยที่ชอบด้วยกฎหมาย หากจำเลยซื้อโจทก์มาเป็นเงิน ๘๐ บาท เพื่อเอามาไว้สำหรับใช้สรอยและบำเรอความสุข หากศาลฟังว่าโจทก์เป็นภริยาจำเลย ๆ ก็เลี้ยงดูโจทก์ตามสมควรแล้ว ไม่เคยหมิ่นประมาทโจทก์
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยเลี้ยงดูโจทก์ไม่เป็นธรรมมีเหตุหย่าได้ตามมาตรา ๑๕๐๐(๓) พิพากษาให้หย่าขาดจากกัน บุตรคนโต ๒ คนให้จำเลยปกครอง ส่วนคนเล็กให้โจทก์ปกครอง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า พฤตติการณ์ยังไม่มีเหตุให้หย่าขาดจากกัน พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ได้เป็นสามีจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย ฉะนั้นการที่จำเลยถือเอาว่าฐานะของโจทก์เป็นแต่เพียงนางบำเรอของจำเลย โดยจำเลยซื้อโจทก์ซึ่งเป็นมนุษย์มาไว้สำหรับใช้สรอย แล้วยังซ้ำยืนยันตลอดมาจนในชั้นให้การในศาลเดิมและศาลอุทธรณ์นั้น เป็นการปฏิบัติที่เรียกได้ว่าทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง จนโจทก์ไม่อาจอยู่กินกับจำเลยต่อไปได้แล้ว ปัญหาที่ว่าจำเลยให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูโดยมัธยัสถ์เบียดกรอ จะเป็นการอุปการะเลี้ยงดูโจทก์พสมควรหรือไม่นั้น ไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะจำเลยมิได้รับและยกย่องว่าเป็นภริยาเสียแล้วในเบื้องต้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามศาลชั้นต้น