โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33 ริบอาวุธปืนและซองพกหนังของกลางนับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อ.149/2562 ของศาลจังหวัดลพบุรี
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 วรรคหนึ่ง จำคุก 6 เดือน และปรับ 1,500 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 เดือน และปรับ 1,000 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.149/2562 ของศาลจังหวัดลพบุรี ริบของกลาง
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ริบของกลาง
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2561 เวลาประมาณ 7 นาฬิกา เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรม่วงค่อมพร้อมเจ้าหน้าที่ทหารร่วมจับกุมจำเลยพร้อมยึดอาวุธปืนพกออโตเมติก (NORINCO) ขนาด 9 มม. LUGER 1 กระบอก กระสุนปืนชนิดและขนาดเดียวกัน 8 นัด บรรจุอยู่ในซองกระสุนปืน พร้อมด้วยซองพกหนัง 1 ซอง ที่ซ่อนอยู่ใต้หมอนในห้องนอนของจำเลยที่บ้าน ซึ่งเป็นบ้านที่จำเลยพักอาศัยอยู่กับนายอานนท์ ซึ่งเป็นสามีของจำเลย จำเลยไม่เคยได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนจากนายทะเบียน จากการตรวจพิสูจน์อาวุธปืนของกลางมีเลขหมายประจำปืน 323892 แต่ไม่ปรากฏเครื่องหมายทะเบียน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า จำเลยมีเจตนาครอบครองอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลาง ในข้อนี้โจทก์มีร้อยตำรวจเอกสมบัติ และดาบตำรวจพีรพงษ์ ผู้ร่วมจับกุม เบิกความในทำนองเดียวกันว่า หลังจากตรวจค้นแล้วสอบถามจำเลยรับว่า อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางเป็นของจำเลยซื้อมาจากคนจังหวัดพระนครศรีอยุธยาโดยแสดงสำเนาใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนให้เจ้าพนักงานชุดจับกุมดู ซึ่งมีเลขหมายประจำปืนตรงกับเลขหมายในเอกสารดังกล่าว ส่วนเครื่องหมายทะเบียนพยานเข้าใจว่า อาจจะตอกอยู่ในด้ามปืน เนื่องจากชื่อผู้ได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนในเอกสารดังกล่าวเป็นบุคคลอื่น จึงนำตัวจำเลยไปสถานีตำรวจ นอกจากนี้โจทก์ยังมีร้อยตำรวจเอกสุระ พนักงานสอบสวนเบิกความว่าในชั้นสอบสวนจำเลยให้การว่า จำเลยไปกับนายอานนท์ ในวันที่มีการซื้อขายอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลาง แต่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่า วันเกิดเหตุนายอานนท์ ซึ่งเป็นสามีของจำเลยออกจากบ้านที่เกิดเหตุไปทำไร่ข้าวโพดตั้งแต่เช้า ต่อมามีเจ้าพนักงานตำรวจมาที่บ้านที่เกิดเหตุตรวจค้นพบอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลาง จำเลยแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจว่าอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางเป็นของนายอานนท์ จำเลยโทรศัพท์ติดต่อนายอานนท์ นายอานนท์บอกให้จำเลยเอาใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน (ป.4) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของเจ้าของอาวุธปืน และเอกสารที่เกี่ยวข้องแสดงให้เจ้าพนักงานตำรวจดู นายอานนท์บอกอีกด้วยว่าจะเข้ามาที่บ้านเพื่อแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจเองว่าอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางเป็นของนายอานนท์ เจ้าพนักงานตำรวจไม่รอนายอานนท์แต่กลับนำจำเลยไปที่สถานีตำรวจ เห็นว่า แม้โจทก์จะนำสืบยืนยันว่า จำเลยไปกับนายอานนท์ในวันที่มีการซื้อขายอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางซ่อนอยู่ใต้หมอนในห้องนอนของจำเลย จำเลยไม่เคยได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนจากนายทะเบียนก็ตาม แต่ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7 บัญญัติว่า "ห้ามมิให้ผู้ใดทำ ซื้อ มี ใช้ สั่ง หรือนำเข้า ซึ่งอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืน เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่" และมาตรา 4 (6) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ให้ความหมายของคำว่า "มี" ไว้ว่า มีกรรมสิทธิ์หรือมีไว้ในครอบครอง เมื่อโจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกในการมีกรรมสิทธิ์หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางดังกล่าว ประกอบกับการพิจารณาคดีอาญา โจทก์มีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบให้ชัดแจ้ง โดยปราศจากข้อสงสัยเพื่อให้ศาลรับฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดตามข้อกล่าวหา ซึ่งในส่วนนี้โจทก์นำสืบไม่ได้ชัดว่า จำเลยมีเจตนายึดถืออาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางเพื่อตนแต่อย่างใด อีกทั้งจำเลยเองก็เป็นภริยาของนายอานนท์และบ้านที่เกิดเหตุก็เป็นบ้านที่นายอานนท์พักอาศัยอยู่ด้วย ลำพังเพียงจำเลยไปกับนายอานนท์ ในวันที่มีการซื้อขายอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางและจำเลยอาศัยอยู่ในบ้านที่เกิดเหตุซึ่งตรวจค้นพบอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลาง เท่านี้จะให้รับฟังถึงกับว่า จำเลยมีเจตนาจะยึดถืออาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางไว้เพื่อความครอบครองของตนหาได้ไม่ พฤติการณ์แห่งคดียังไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางไว้ในครอบครอง จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางไว้ในครอบครองโดยมิได้รับใบอนุญาต และกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยพยานจำเลยและประเด็นฎีกาที่เหลืออีกต่อไป เพราะไม่มีผลทำให้คำวินิจฉัยของศาลเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน