โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุก "อีซูซุ" จากจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2, 3 ซึ่งเป็นผู้จัดการและสมุหบัญชีจำเลยที่ 1 ให้โจทก์นำรถยนต์ไปต่อตัวถังใช้งานได้ จึงจะชำระเงินงวดแรก10,000 บาท ต่อมาผู้แทนโจทก์นำเงินงวดแรกไปชำระจำเลยไม่ยอมมอบคู่ฉบับสัญญาเช่าซื้อ อ้างว่าจะต้องชำระเงินอีก 7,000 บาท จำเลยที่ 1, 2 กับพวกมายึดรถ ขอให้บังคับให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหาย20,200 บาท กับค่าเสียหายที่ขาดประโยชน์ต่อไปวันละ 400 บาท จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยมิได้ตกลงให้โจทก์นำรถไปต่อตัวถังแล้วนำไปใช้งาน จึงจะชำระเงินดาวน์ 10,000 บาท โจทก์ชำระเงิน10,000 บาทแล้ว จำเลยจึงมอบรถให้ ต่อมาจำเลยผิดนัดชำระเงินงวดที่หนึ่ง จำเลยมีสิทธิริบเงินดาวน์ ฯลฯ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า คู่สัญญาได้ตกลงกันตามที่ปรากฎในเอกสาร ล.1 ซึ่งโจทก์มีหน้าที่จะต้องชำระเงินงวดที่หนึ่ง 2,500 บาทภายในวันที่ 27 มิถุนายน 2506 การที่โจทก์มิได้ชำระเงินผ่อนส่งงวดที่หนึ่งตามสัญญาและตามที่จำเลยทวงถาม ถือว่าโจทก์ผิดนัดผิดสัญญาฝ่ายจำเลยย่อมมีสิทธิริบเงินดาวน์และยึดรถพิพาทคืนตามข้อตกลงโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้โจทก์จะได้รับความเสียหาย จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามฟ้อง ฎีกาโจทก์ที่ว่า เอกสาร ล.1 มิใช่สัญญาเช่าซื้อนั้น เห็นว่าแม้จะระบุว่า "ใบสั่งขาย" แต่ข้อความที่ปรากฏในเงื่อนไขก็มิชัดว่าเป็นการเช่าซื้อ ที่ผู้เช่าซื้อมีหน้าที่ชำระเงินตามรายละเอียดที่วางไว้ ฎีกาโจทก์ที่ว่าโจทก์มิได้ผิดนัดชำระเงินถึง 2 งวดติด ๆกัน ตามกฎหมายนั้น เห็นว่า ตามเอกสาร ล.1 ระบุชัดว่า ถ้าผิดสัญญาชำระเงินงวดใดงวดหนึ่ง ยอมให้ยึดรถคืนอยู่แล้ว ตามฎีกาที่ 1192/2501 ประเด็นเกี่ยวกับเงินค่าต่อตัวถังรถพิพาทจำนวน 4,200 บาทนั้นศาลฎีกาเห็นว่า แม้ถึงว่าตัวถังรถจะเป็นส่วนควบของรถพิพาท การยึดรถพิพาทคืนย่อมรวมถึงส่วนควบด้วย พิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1316 วรรค 2 เมื่อหักค่าเสื่อมราคาลงจากค่าต่อตัวถัง จำเลยต้องใช้ราคา 2,940 บาท ให้โจทก์ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงินค่าต่อตัวถังรถพิพาทแก่โจทก์2,940 บาท.