โจทก์ฟ้องว่าบริษัท เยนเนอร์รัลอีเลกตริค จำกัดในประเทศอังกฤษ  ได้ตกลงขายเครื่องโทรศัพท์กับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย  การส่งสิ่งของก็ส่งโดยตรงต่อองค์การโทรศัพท์  การจ่ายเงินก็จ่ายในประเทศอังกฤษตรงต่อบริษัทเยนเนอร์รัลอีเล็คตริค จำกัด  หนังสือสัญญาก็ทำในนามของบริษัทเยนเนอร์รัล อีเล็คตริค  จำกัด  เพียงแต่ บริษัทเยนเนอรัลฯ ให้โจทก์เซ็นสัญญาในนามของบริษัทเยนเนอร์รัล ฯ เท่านั้น   โจทก์ไม่มีอำนาจกระทำการใด ๆ บริษัทเยนเนอร์รัล ฯ กับองค์การโทรศัพท์ ฯ ติดต่อกันโดยตรงตัวต่อตัว  โจทก์ไม่ได้รับทราบและไม่ได้ผ่านมือโจทก์เลย
วันที่  ๔  มี.ค.  ๒๕๐๑  เจ้าพนักงานประเมินแจ้งว่าโจทก์เป็นผู้ทำการแทนบริษัท เยนเนอร์รัล ฯ ไม่ได้ยื่นรายการเพื่อเสียภาษีการค้าประจำเดือนมกราคม ๒๔๙๗   ถึงเดือนธันวาคม  ๒๕๐๐  เป็นจำนวนภาษีที่จะชำระหรือชำระเพิ่มเป็นเงิน ๗๕๐,๓๙๖ บาท  ๙๙ สตางค์  ให้โจทก์นำไปชำระ และ
เมื่อวันที่  ๓๑  มี.ค.  ๒๕๐๑  เจ้าพนักงานประเมินภาษีแจ้งมายังโจทก์ว่า  โจทก์เป็นผู้ทำการแทนในการประมูลติดต่อทำสัญญา  จำหน่ายและติดตั้งเครื่องชุมสายโทรศัพท์ให้แก่กรมไปรษณีย์โทรเลขและองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย  เป็นเหตุให้บริษัทเยนเนอร์รัล ฯ  ได้รับเงินในประเทศไทยรอบระยะบัญชี  ปี พ.ศ. ๒๔๙๘  เป็นเงิน  ๑,๖๙๘,๔๘๐ บาท  โจทก์มีความรับผิดในการยื่นรายการเสียภาษีเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้ตามมาตรา ๗๖ ทวิ  ประมวลรัษฎากร  แต่โจทก์มิได้ยื่นทำรายการและเสียภาษีเงินได้  ซึ่งโจทก์จะต้องเสียภาษีรวม ๓ รายการ  รวมเป็นเงิน ๒๗๕,๓๕๑.๑๐ บาท
โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์ต่ออธิบดีกรมสรรพากรๆชี้ขาดตามคำสั่งที่ ๑๕๖๒๖/๒๕๐๑ ให้โจทก์เสียภาษีการค้าและภาษีเงินได้นิติบุคคลตามคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมิน
โจทก์เห็นว่าคำสั่งของอธิบดีกรมสรรพากรไม่ชอบ  จึงขอให้ศาลยกเลิกเพิกถอนเสีย
จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า  คำสั่งอธิบดีกรมสรรพากรที่ยกอุทธรณ์ของโจทก์นั้นชอบแล้ว
ศาลชั้นต้นฟังว่า  ในเรื่องภาษีการค้า  บริษัทโจทก์มิได้เป็นผู้ทำการแทนบริษัทเยนเนอร์รัล ฯ  เพราะไม่มีสถานการค้าเพื่อประกอบการค้าอันจะต้องเสียภาษีการค้า  โจทก์จึงไม่ต้องรับผิด  แต่ในเรื่องภาษีเงินได้  บริษัทโจทก์เป็นผู้ทำการแทนบริษัทเยนเนอร์รับ ฯ ๆ ได้รับผลกำไรในประเทศไทย  ต้องเสียภาษีเงินได้  พิพากษาว่า  คำชี้ขาดอุทธรณ์ที่ให้บริษัทโจทก์เสียภาษีเงินได้  ๒๗๕,๓๕๑.๑๐ บาท ถูกต้อง  ให้ยกฟ้อง  ส่วนคำชี้ขาดอุทธรณ์ที่ให้โจทก์เสียภาษีการค้า ๗๕๐,๓๙๖.๙๙ บาท  ไม่ชอบให้ยกเลิกเพิกถอนเสีย
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าบริษัทเยนเนอร์รัล ฯ  รับเงินในต่างประเทศไม่ได้รับเงินในประเทศไทย  โจทก์ไม่ต้องรับผิดตามประมวลรัษฎากร  มาตรา ๗๐  พิพากษาแก้เป็นว่า  ให้ยกเลิกเพิกถอนคำสั่งประเมินภาษีการค้า  และเงินได้ตามที่เจ้าพนักงานประเมินมาและคำสั่งชั้นอุทธรณ์ของอธิบดีกรมสรรพากรนั้นเสีย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  ตามมาตรา ๗๐  แห่งประมวลรัษฎากรอันเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่เกิดกรณีพิพาทนี้ (คือ ก่อนฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑๖)   ๒๕๐๒)  ความสำคัญไม่ใช่อยู่ที่การรับ  กฎหมายบ่งระบุไว้สำหรับในเรื่องการจ่าย  คือ  ที่จ่ายในประเทศไทย  ถ้าบริษัทต่างประเทศได้รับเงินนั้นแล้ว  จะรับในที่ใดไม่สำคัญ  บริษัทต่างประเทศนั้นก็ต้องเสียภาษีดังศาลฎีกา  ได้วินิจฉัยไว้แล้วในฎีกาที่ ๗๗๓/๒๕๐๔  ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า  เงินค่าขายและติดตั้งเครื่องโทรศัพท์  นั้น  กรมไปรษณีย์โทรเลขและองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยเป็นผู้จ่าย  ต้องถือว่าเป็นการจ่ายในประเทศไทย  แม้การส่งเงินนั้นไปให้บริษัทเยนเนอร์รัล ฯ  ในประเทศอังกฤษ  เป็นเงินปอนด์และสะเตอร์ลิง  ก็เป็นการจ่ายในประเทศไทยอยู่นั่นเอง  และที่ศาลอุทธรณ์ยกมาตรา ๗๐ ขึ้นปรับบทกับกรณีนี้  ศาลฎีกาเห็นว่ายังไม่ถูกต้อง  เพราะมาตรา ๗๐  เป็นบทบังคับในกรณีที่บริษัทต่างประเทศมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย  กรณีนี้เป็นเรื่องที่บริษัทต่างประเทศประกอบกิจการในประเทศไทย  กรณีต้องด้วยมาตรา ๗๖  ทวิมากกว่า  ประเด็นจึงมีว่า  บริษัทเยนเนอร์รัล ฯ
ซึ่งประกอบกิจการค้าขายและติดตั้งเครื่องชุมสายโทรศัพท์ให้แก่กรมไปรษณีย์โทรเลข  และองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย  นั้นได้ประกอบกิจการโดยโจทก์เป็นผู้ทำการแทนหรือผู้ทำการติดต่อในประเทศไทยหรือไม่  ศาลฎีกาได้วินิจฉัยถึงพฤติการณ์ต่าง ๆ ของโจทก์ อันเกี่ยวกับสัญญาติดตั้งเครื่องชุมสายโทรศัพท์รายนี้แล้วเห็นว่า  บริษัทโจทก์ได้แสดงออกโดยชัดแจ้งแล้วว่า  โจทก์เป็นผู้ทำการแทนหรือผู้ทำการติดต่อในประเทศไทยของบริษัทเยนเนอร์รัล ฯ แล้ว  จึงต้องถือว่าโจทก์เป็นตัวแทนของบริษัทเยนเนอร์รัล ฯ  ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ  มีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและการเสียภาษีตามความในประมวลรัษฎากร  มาตรา ๗๖ ทวิแล้ว
สำหรับกรณีภาษีการค้านั้น  กรณีเกิดระหว่าง พ.ศ. ๒๔๙๗  ถึง พ.ศ. ๒๕๐๐  ต้องบังคับตามประมวลรัษฎากรหมวด ๔ ว่าด้วยภาษีการค้า  มาตรา ๗๘ และมาตรา ๗๙  ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ฯ (ฉบับที่ ๑๐)  พ.ศ. ๒๔๙๖   ศาลฎีกาเห็นว่า  จะนำมาตรา ๗๖ ทวิมาใช้บังคับกรณีภาษีการค้าหาได้ไม่  เพราะอยู่ต่างส่วนต่างหมวดกัน  ศาลฎีกาวินิจฉัยและสรุปว่า  พฤติกรรมของโจทก์ที่ปรากฏในคดีนี้  บริษัทโจทก์เป็นแต่เพียงผู้ติดต่อแทนบริษัทเยนเนอร์รัล ฯ เฉพาะในกิจการลงนามในสัญญาระหว่างรัฐบาลไทยหรือองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย  การทวงถามให้จ่ายเงินตามสัญญา  การจัดให้มีการออกใบรับเงิน  และการรับส่งวัสดุอุปกรณ์ชุมสายโทรศัพท์  เป็นการกระทำเป็นผู้ติดต่อในกิจการเฉพาะรายตามสัญญาเท่านั้น  ซึ่งกิจการเหล่านี้จะถือว่าได้มีการประกอบหรือดำเนินการค้าเป็นปกติธุระอันมีโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าแทนยังไม่ได้  โจทก์ไม่ต้องรับผิดในภาษีการค้าในจำนวนเงินที่พิพาท
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์  คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น