โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า "NICCO" อักษรโรมัน อ่านว่า "นิกโก้" ได้จดทะเบียนไว้สำหรับสินค้าจำพวกที่ ๑๓ คือของที่ทำด้วยโลหะ สินค้าของโจทก์ได้ขายให้แก่ส่วนราชการและเอกชนตลอดมาจนสาธารณชนรู้จัก ต่อมาจำเลยได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า "NICCO" ซึ่งจำเลยมิได้ใช้มาก่อนสำหรับสินค้าจำพวกที่ ๑๘ ซึ่งเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยอาศัยแอบอิงเอารูปเครื่องหมายการค้าของโจทก์มาใช้กับสินค้าของจำเลยทำให้สาธารณชนหลงผิดว่า สินค้าของจำเลยเป็นสินค้าของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนเพิกถอนคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยเลขที่ ๑๓๑๕๘๐ และทะเบียนเครื่องหมายการค้าทะเบียนเลขที่ ๘๕๙๒๔ ต่อนายทะเบียนเครื่องหมายการค้า หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย และห้ามจำเลยมิให้ใช้เครื่องหมายการค้า "NICCO" ไม่ว่าสินค้าประเภทใด
จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้คัดค้านต่อนายทะเบียนภายในกำหนดเก้าสิบวัน นับแต่วันประกาศคำขอจดทะเบียนหรือนำคดีสู่ศาลภายในกำหนดดังกล่าว โจทก์จึงสิ้นสิทธิที่จะนำคดีมาสู่ศาล ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนเพิกถอนเครื่องหมายการค้าพิพาท หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยโดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนเพิกถอน และห้ามจำเลยใช้เครื่องหมายการค้า NICCO ไม่ว่าสำหรับสินค้าใดต่อไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สินค้าของโจทก์ที่ใช้เครื่องหมายการค้า "NICCO" จำหน่ายแพร่หลายในประเทศไทยมาประมาณ ๑๕ ปีแล้ว เครื่องหมายการค้าของโจทก์ซึ่งใช้คำว่า "NICCO" ไม่มีคำแปล การที่จำเลยใช้เครื่องหมายการค้าว่า "NICCO" ซึ่งไม่มีคำแปลเช่นเดียวกัน จึงเป็นการใช้เครื่องหมายการค้าที่เป็นอักษรโรมันคำเดียวกันกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ ต่างกันแต่เพียงว่าของโจทก์อยู่ภายในวงกลมที่ล้อมรอบด้วยรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า และตัวอักษร "O" เป็นตัวทึบ ส่วนของจำเลยใช้ตัวอักษรโรมันธรรมดา และเมื่อออกสำเนียงชื่อก็คล้ายคลึงกัน คือของโจทก์ออกสำเนียงว่า "นิกโก้" ส่วนของจำเลยออกสำเนียงว่า "นิคโค้" การกระทำของจำเลยเป็นการใช้เครื่องหมายการค้าพิพาทเพื่อให้ผู้ซื้อหลงเข้าใจผิดว่า สินค้าของจำเลยเป็นสินค้าของโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่าจำเลย และมีสิทธิห้ามจำเลยใช้เครื่องหมายการค้าพิพาทได้ด้วย นอกจากนี้ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เครื่องหมายการค้าของจำเลยมีลักษณะเหมือนหรือคล้ายกันกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์อันอาจทำให้ประชาชนหลงผิด และทำให้โจทก์เสียหายได้นั้นเห็นว่าโจทก์ได้บรรยายไว้ในฟ้องแล้วเช่นนั้น และอยู่ในประเด็นข้อพิพาทข้อ ๒ ซึ่งศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่า โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนและห้ามมิให้ใช้เครื่องหมายการค้าที่กล่าวในฟ้องได้หรือไม่ ดังนั้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ แต่ประการใด
ส่วนฎีกาของจำเลยอีกข้อหนึ่งว่า โจทก์ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนของมาตรา ๒๑ และ ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. ๒๔๗๔ สิทธิของโจทก์ที่จะนำคดีมาสู่ศาลหรือฟ้องจำเลยต่อศาลเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าพิพาทจึงสิ้นไปนั้นเห็นว่า ตามมาตรา ๒๑ และ ๒๒ เป็นบทบัญญัติสำหรับวิธีดำเนินการรับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าซึ่งแบ่งออกเป็นชั้น ๆ รวมทั้งชั้นประกาศตามมาตรา ๒๑ และชั้นจดทะเบียนตามมาตรา ๒๒ ซึ่งได้กำหนดเวลาสำหรับการยื่นคำคัดค้านการจดทะเบียนไว้ว่า จะต้องยื่นภายในเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศ ส่วนกรณีนี้ไม่มีการคัดค้าน จึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา ๒๒ และหาตัดสิทธิเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่แท้จริง ที่จะดำเนินคดีเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าของตนไม่ ดังนั้น เมื่อนายทะเบียนเครื่องหมายการค้ารับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามคำขอจดทะเบียนของจำเลยแล้ว ถ้าหากโจทก์เป็นเจ้าของซึ่งมีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่าจำเลย โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนคำขอจดทะเบียนกับทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยได้ตาม มาตรา ๔๑ (๑) แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. ๒๔๗๔ สิทธิของโจทก์ที่จะนำคดีมาสู่ศาลคือฟ้องจำเลยต่อศาลเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้ารายพิพาทจึงยังไม่สิ้นไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาทุกข้อของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.