โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งเจ็ดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 มาตรา 4, 6, 9, 10, 35, 52 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560 มาตรา 3, 4, 6 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 มาตรา 4, 9 วรรคหนึ่งและวรรคสี่ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 83, 91, 283 บวกโทษจำเลยที่ 1 ที่ศาลแขวงพระนครเหนือรอการลงโทษไว้เข้ากับโทษของจำเลยที่ 1 ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ โดยไม่ได้ให้การในคดีแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 มาตรา 6 (1), 9 วรรคหนึ่งและวรรคสอง, 10 วรรคหนึ่ง, 52 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง และวรรคสี่ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ จำคุกคนละ 2 ปี ฐานร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ ฐานร่วมกันเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยใช้อุบายหลอกลวง และฐานร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปซึ่งบุคคลใดเพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณีโดยใช้อุบายหลอกลวง เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยใช้อุบายหลอกลวง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 รวม 3 กระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี เป็นจำคุกคนละ 15 ปี รวมทุกกระทงเป็นจำคุกคนละ 17 ปี บวกโทษจำคุก 2 เดือน ของจำเลยที่ 1 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 215/2561 ของศาลแขวงพระนครเหนือเข้ากับโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 17 ปี 2 เดือน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์เป็นเงิน 781,330 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคแรก พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 แต่ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคแรก และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่ละบทมีระวางโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคแรก เพียงบทเดียว รวม 3 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมเป็นจำคุกคนละ 3 ปี ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงจากทางไต่สวนประกอบสำนวนการสอบสวนซึ่งจำเลยทั้งสองไม่ได้โต้แย้งฟังได้ว่า ผู้เสียหายจบการศึกษานอกโรงเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีบุตรแล้ว 3 คน ประมาณต้นเดือนมีนาคม 2561 ระหว่างรอที่จะไปทำงานนวดที่สาธารณรัฐเกาหลี ผู้เสียหายได้รับการชักชวนจากเพื่อนชื่อนางสาวพรรณิภา ให้ไปทำงานที่รัฐบาห์เรนด้วยกัน โดยจะมีจำเลยที่ 1 ซึ่งผู้เสียหายไม่รู้จักเป็นผู้ดำเนินการ หลังจากผู้เสียหายสนใจและรับทราบวิธีทำงานจากจำเลยที่ 1 แล้ว รุ่งขึ้นวันที่ 16 มีนาคม 2561 ผู้เสียหาย นางสาวพรรณิภากับหญิงไทยอีกหนึ่งคนก็ร่วมเดินทางไปยังรัฐบาห์เรนโดยมีนางสาวกนกรัตน์ กับชายชาวบาห์เรน 1 คน มารับที่สนามบินแล้วพาไปพักที่ตึก อ. กรุงมานามา ซึ่งมีจำเลยที่ 2 กับพวกพักอยู่ก่อนแล้ว คืนแรกที่ไปถึงจำเลยที่ 2 พาผู้เสียหายไปทำงานที่บาร์ของโรงแรม ป. ซึ่งมีหญิงไทยหลายคนยืนอยู่รอลูกค้าคืนนั้นผู้เสียหายต้องออกไปร่วมประเวณีกับลูกค้าคนหนึ่งที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้แนะนำ ต่อมาวันที่ 20 เดือนเดียวกัน นางสาวกนกรัตน์พาผู้เสียหายไปอยู่กับนางสาววิชุดา ที่ตึก ย. ร่วมกับหญิงไทยอีกหลายคนที่มีวิธีหาลูกค้าด้วยการส่งข้อความโต้ตอบกับลูกค้าทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ผ่านแอปพลิเคชัน ที่ตึกดังกล่าวผู้เสียหายต้องออกไปร่วมประเวณีกับลูกค้าอีก 2 ครั้ง คือ ในคืนวันที่ 20 กับคืนวันที่ 21 มีนาคม 2561 ครั้งแรกที่ทราบว่าต้องออกไปร่วมประเวณีกับลูกค้า ผู้เสียหายได้ส่งข่าวผ่านแอปพลิเคชันทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้นายดุสิต พี่ชายที่ประเทศไทยทราบเพื่อหาทางช่วยเหลือ และจากการประสานงานของหน่วยราชการไทยกับสถานทูตไทยในรัฐบาห์เรน ต่อมาวันที่ 24 มีนาคม 2561 ผู้เสียหายก็ได้รับความช่วยเหลือและพาตัวส่งกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 29 เดือนเดียวกัน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดฐานค้ามนุษย์และฐานอื่นตามที่โจทก์ฟ้องอันทำให้ผู้เสียหายมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนและศาลมีอำนาจบวกโทษจำเลยที่ 1 ที่ศาลแขวงพระนครเหนือรอการลงโทษไว้ตามคำขอของโจทก์หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ชัดเจนว่างานบริการที่ผู้เสียหายต้องทำที่รัฐบาห์เรนนั้น คือ การขายบริการทางเพศเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีบริการนวดให้แก่ลูกค้าแต่อย่างใด คำว่า "นวด" หรือ "massage" เป็นเพียงคำที่จำเลยที่ 2 กับพวกใช้พูดกับลูกค้าเพื่อชักชวนให้มีการซื้อบริการทางเพศเท่านั้น ดังคำเบิกความของผู้เสียหายที่ว่าคืนแรกเมื่อไปถึงผับ (หรือบาร์) ของโรงแรม จำเลยที่ 2 ได้สอนให้พยานพูดกับลูกค้าว่า You massage with me ซึ่งมีความหมายทำนองเชิญชวนให้ลูกค้าไปนวดกับผู้เสียหายแต่เมื่อมีลูกค้าคนหนึ่งสนใจ จำเลยที่ 2 ก็รับเงินจากลูกค้าแล้วแอบส่งถุงยางอนามัยห่อด้วยกระดาษชำระให้แก่ผู้เสียหายก่อนที่จะบอกให้ผู้เสียหายออกไปกับลูกค้า ฉะนั้นงานบริการที่ผู้เสียหายต้องทำก็คือการค้าประเวณีนั่นเอง ข้อเท็จจริงฟังได้ต่อไปว่า เมื่อรู้ว่าต้องออกไปร่วมประเวณีกับลูกค้าโดยไม่มีการนวดแล้ว ผู้เสียหายก็บอกให้นางสาวพรรณิภาเพื่อนที่ชักชวนมาได้ทราบความจริงทันทีว่างานที่ทำไม่ใช่งานนวดอย่างที่คิด แล้วส่งข้อความทางแอปพลิเคชันไลน์ให้นายดุสิตพี่ชายที่อยู่ประเทศไทยทราบว่าถูกหลอกมาขายบริการทางเพศและขอให้หาทางช่วยเหลือ อันแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่าผู้เสียหายมิได้สมัครใจมาค้าประเวณี แต่เหตุที่ตัดสินใจมาเป็นเพราะจำเลยที่ 1 บอกว่าเป็นงานนวด ซึ่งเชื่อว่าจำเลยที่ 1 น่าจะนำคำว่า "massage" ที่ใช้ชักชวนลูกค้ามาแปลเพื่อชักจูงให้ผู้เสียหายเกิดความสนใจ โดยไม่บอกลักษณะของงานที่แท้จริงให้ผู้เสียหายทราบและเข้าใจ ส่วนที่นางสาวพรรณิภาให้การในชั้นสอบสวนว่า จำเลยที่ 1 บอกให้ทราบแล้วว่างานที่ทำเป็นงานค้าประเวณีนั้น ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง เพราะนางสาวพรรณิภาสมัครใจมาค้าประเวณีและยังอยากจะทำงานที่รัฐบาห์เรนต่อ จึงน่าจะให้การที่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายจำเลยมากกว่า การชักชวนของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวย่อมถือว่าเป็นการกระทำโดยฉ้อฉล หลอกลวง จัดส่งผู้เสียหายให้ไปค้าประเวณียังรัฐบาห์เรน อันเป็นความผิดฐานค้ามนุษย์ตามมาตรา 6 (1) ฐานร่วมกันเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยใช้อุบายหลอกลวงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคหนึ่ง และฐานร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปซึ่งบุคคลใดเพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณีโดยใช้อุบายหลอกลวงตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 มาตรา 9 วรรคหนึ่งและวรรคสี่ ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าผู้เสียหายไม่ได้ถูกหลอกลวงเพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องไปค้าประเวณีนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น และเมื่อความปรากฏว่าจำเลยที่ 2 กับพวกเป็นผู้จัดที่อยู่อาศัยให้ผู้เสียหายและพาผู้เสียหายไปค้าประเวณีเมื่อไปถึงรัฐบาห์เรนแล้ว จำเลยที่ 2 ย่อมเป็นตัวการในความผิดฐานค้ามนุษย์โดยแบ่งหน้าที่กันทำด้วย ทั้งยังฟังว่าเป็นการสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง ซึ่งในวรรคสองกำหนดให้ผู้ร่วมสมคบด้วยกันทุกคนต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดในมาตรา 6 อีกกระทงหนึ่ง และนอกจากจำเลยทั้งสองแล้วยังมีพวกอีกหลายคนร่วมกันกระทำความผิดอันเป็นการร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่สามคนขึ้นไป จำเลยทั้งสองจึงต้องรับโทษหนักกว่าโทษที่บัญญัติไว้สำหรับมาตรา 6 อีกกึ่งหนึ่งตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง ซึ่งมาตรา 10 วรรคหนึ่งดังกล่าวเป็นบทบัญญัติที่กำหนดให้ผู้กระทำผิดต้องรับโทษหนักขึ้น มิใช่บทบัญญัติที่ระบุว่าการกระทำใดเป็นความผิด แต่ที่โจทก์บรรยายฟ้องในข้อ 1.2 ข้อ 1.3 และข้อ 1.4 ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่สามคนขึ้นไป โดยขอให้ลงโทษแยกเป็นสามกระทงนั้นยังไม่ถูกต้องไม่อาจลงโทษตามขอได้ ปัญหาดังกล่าวศาลฎีกาเห็นว่า แม้การร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป พาไปหรือชักพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารหรือเพื่อให้กระทำการค้าประเวณีอาจเป็นความผิดหลายกระทงได้ แต่การออกไปค้าประเวณี 3 วัน ของผู้เสียหายตามที่โจทก์แยกฟ้องนั้นเกิดจากเจตนาร่วมกันกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์และฐานอื่นดังกล่าวข้างต้นของจำเลยทั้งสองกับพวกที่กระทำแก่ผู้เสียหายโดยฉ้อฉล หลอกลวงตั้งแต่แรกเพียงเจตนาเดียว การค้าประเวณีที่เนื่องมาย่อมไม่เป็นความผิดต่างกรรมไปจากความผิดฐานค้ามนุษย์และฐานอื่นแต่ละฐานอีก อย่างไรก็ตามความผิดฐานค้ามนุษย์ดังกล่าวเกิดจากการสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง ซึ่งมาตรา 9 วรรคสอง บัญญัติให้ผู้ร่วมสมคบทุกคนต้องระวางโทษตามที่ได้บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้นอีกกระทงหนึ่งด้วย ดังนั้น จำเลยทั้งสองจึงต้องรับโทษฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง และฐานค้ามนุษย์โดยร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 9 วรรคสอง รวม 2 กระทง ซึ่งจากคำบรรยายฟ้อง เท่ากับโจทก์ได้แยกฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นข้อ 1.1 กระทงหนึ่ง กับข้อ 1.2 ถึงข้อ 1.4 อีกกระทงหนึ่งเป็น 2 กระทง จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษและกฎหมายบัญญัติไว้โดยตรง ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยทั้งสองตามบทกฎหมายดังกล่าวได้ และเมื่อฟังว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายตามที่โจทก์ขอและจำเลยทั้งสองไม่โต้แย้งคัดค้านได้ สำหรับฎีกาเรื่องการบวกโทษจำเลยที่ 1 ความปรากฏแก่ศาลฎีกาตามสำเนาคำพิพากษาของศาลแขวงพระนครเหนือ ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 215/2561 ท้ายฎีกาของโจทก์ซึ่งจำเลยที่ 1 ไม่ได้แก้ฎีกาโต้แย้งว่าจำเลยที่ 1 ต้องคำพิพากษาให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 2 เดือนจริงจึงต้องบวกโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 วรรคแรก ที่ศาลอุทธรณ์ยกคำขอในส่วนนี้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 มาตรา 6 (1) (เดิม), 9 วรรคหนึ่งและวรรคสอง, 10 วรรคหนึ่ง, 52 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง และวรรคสี่ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ จำคุกคนละ 2 ปี ฐานร่วมกันเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหาล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยใช้อุบายหลอกลวง ฐานร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ และฐานร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปซึ่งบุคคลใดเพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณีโดยใช้อุบายหลอกลวง เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหาล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยใช้อุบายหลอกลวง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 5 ปี รวมทุกกระทงเป็นจำคุกคนละ 7 ปี บวกโทษจำคุก 2 เดือน ของจำเลยที่ 1 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 215/2561 ของศาลแขวงพระนครเหนือเข้ากับโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 7 ปี 2 เดือน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์เป็นเงิน 781,330 บาท แก่ผู้เสียหาย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์