โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์ หมายเลขทะเบียน ก.ท.ป. ๑๔๕๗ จำเลยเป็นผู้ครอบครองรถบรรทุก ๑๐ ล้อ หมายเลขทะเบียน ล.บ.๐๖๐๓๕ ในฐานะผู้ผ่อนส่ง โดยมีนายจำลอง กิจตนลูกจ้างของจำเลยเป็นคนขับ เมื่อลงวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๑๕ นายจำลองขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน ล.บ.๐๖๐๓๕ บรรทุกดินไปตามถนนคันคลองชลประทานจากอำเภอบ้านแพรก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มุ่งหน้าไปจังหวัดลพบุรี ตามหลังรถยนต์โดยสารคันหนึ่ง ขณะนั้นมีรถยนต์บรรทุก ๑๐ ล้อ อีกหนึ่งคันแซงรถยนต์คันที่นายจำลองเป็นผู้ขับทำให้เกิดฝุ่นฟุ้งตลบมองไม่เห็นทางซึ่งเป็นที่คับขัน โดยความประมาทนายจำลองได้ขับรถแซงรถยนต์โดยสารคันดังกล่าวและขับกินทางขวามากเกินไปเข้าไปในเส้นทางของรถยนต์ที่สวนมาเป็นเหตุให้รถยนต์ที่นายจำลองขับรถยนต์ชนโจทก์ซึ่งนายบุญเรือนขับแล่นสวนมา นายบุญเรือนถึงแก่ความตาย รถโจทก์พังเสียหายใช้การไม่ได้ ขอให้บังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ๕๒,๑๔๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยฯ
จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท.ป.๑๔๕๗ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง นายจำลองไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยและขณะเกิดเหตุก็ไม่ได้ทำการในกิจการของจำเลย เหตุที่รถยนต์ชนกันเป็นเพราะความประมาทของนายบุญเรือน จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ค่าเสียหายไม่เกิน ๔,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ๔๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
โจทก์ฎีกาคัดค้านการยื่นฎีกาของจำเลยว่า คดีมีทุนทรัพย์ ๔๐,๐๐๐ บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๔๘ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๖ ฎีกาของจำเลยเป็นข้อเท็จจริงทั้งหมด จึงต้องห้ามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยในมูลละเมิดเป็นเงิน ๕๒,๑๔๐ บาท คดีจึงมีทุนทรัพย์ ๕๒,๑๔๐ บาท ไม่ใช่ทุนทรัพย์ ๔๐,๐๐๐ บาทเท่าที่ศาลล่างพิพากษาให้จำเลยชดใช้คดีจึงมิต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามกฎหมายที่โจทก์อ้าง
พิพากษายืน