โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 276, 283 ทวิ, 318 และนับโทษจำคุกของจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3314/2560 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณานางสาว บ. ผู้เสียหายที่ 1 กับนาง ม. ผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์
จำเลยคัดค้านว่า ผู้เสียหายที่ 2 ไม่ได้เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เสียหายที่ 1
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งตั้งผู้เสียหายที่ 2 เป็นผู้แทนเฉพาะคดีของผู้เสียหายที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 6 และอนุญาตให้ผู้เสียหายทั้งสองเข้าร่วมเป็นโจทก์ โดยอนุญาตให้ผู้เสียหายที่ 1 เข้าร่วมเป็นโจทก์ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราและพาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจาร และอนุญาตให้ผู้เสียหายที่ 2 เข้าร่วมเป็นโจทก์ในความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร
โจทก์ร่วมทั้งสองยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าความเสียหายต่อร่างกายและจิตใจ และความเสียหายต่อเกียรติยศชื่อเสียงรวม 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของจำนวนเงินดังกล่าว
จำเลยให้การในส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก จำคุก 6 ปี นับโทษจำคุกต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.1428/2561 ของศาลชั้นต้น ยกฟ้องความผิดฐานพาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจาร และความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อการอนาจาร ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่ 1 จำนวน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 21 สิงหาคม 2560) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก (ที่ถูก ให้ยกคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของโจทก์ร่วมที่ 2)
โจทก์ โจทก์ร่วมทั้งสอง และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 วรรคสาม ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อการอนาจาร จำคุก 4 ปี คำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง กรณีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน ยกฟ้องความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่ 2 จำนวน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 21 สิงหาคม 2560) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ส่วนความผิดฐานอื่นและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในความผิดฐานพาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจาร
โจทก์ร่วมทั้งสองฎีกาปัญหาข้อกฎหมาย
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์ร่วมที่ 1 ขณะเกิดเหตุอายุ 16 ปี 2 เดือน เป็นบุตรของนาง ล. แต่ยกให้โจทก์ร่วมที่ 2 ตั้งแต่อายุได้ 6 วัน โจทก์ร่วมที่ 2 ให้การอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ร่วมที่ 1 มาโดยตลอด โจทก์ร่วมที่ 1 ศึกษาอยู่ชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 2 ที่วิทยาลัย ท. ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ 2 เดือน โจทก์ร่วมที่ 1 สมัครเรียนการแสดงที่โรงเรียน ท. โดยมีจำเลยเป็นครูสอนการแสดง เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2560 เวลาประมาณ 10 นาฬิกา โจทก์ร่วมที่ 1 กับเด็กนักเรียนการแสดงคนอื่น ๆ ไปถ่ายทำโพรไฟล์ที่บ้านของจำเลย ต่อมาวันที่ 28 พฤษภาคม 2560 เวลาประมาณ 20 นาฬิกา นางสาว ด. พาโจทก์ร่วมที่ 1 ไปร้องทุกข์ต่อร้อยตำรวจเอก ส. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรปากเกร็ดให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร พาบุคคลไปเพื่อการอนาจาร และข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น ร้อยตำรวจเอก ส. ตรวจยึดกล้องบันทึกภาพพร้อมเลนส์และฮาร์ดดิสก์จากจำเลย ชั้นสอบสวนร้อยตำรวจเอก ส. แจ้งข้อกล่าวหาจำเลยว่าพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากผู้ดูแล โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อการอนาจาร พาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจาร และข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น จำเลยให้การรับสารภาพ ก่อนวินิจฉัยฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสอง เห็นสมควรวินิจฉัยคำแก้ฎีกาของจำเลยเสียก่อนว่า ฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองต้องห้ามฎีกาหรือไม่ เห็นว่า ปัญหาฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองว่า ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก และความผิดฐานพาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ทวิ วรรคแรก โจทก์ร่วมที่ 1 ร้องทุกข์โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองในปัญหานี้จึงไม่ต้องห้ามฎีกา ส่วนปัญหาฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้อง ฎีกาของโจทก์ในปัญหานี้จึงไม่ต้องห้ามฎีกาเช่นกัน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา และความผิดฐานพาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจารหรือไม่ โดยศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยปัญหานี้ว่า โจทก์ร่วมที่ 2 ไม่ใช่ผู้แทนโดยชอบธรรมที่จะร้องทุกข์แทนโจทก์ร่วมที่ 1 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (1) ทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองมิได้นำสืบถึงการแจ้งความร้องทุกข์นี้แต่อย่างใด กรณีจึงต้องถือว่าความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวไม่มีการร้องทุกข์โดยชอบ พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 121 วรรคสอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เห็นว่า ร้อยตำรวจเอก ส. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรปากเกร็ดเบิกความว่า เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2560 เวลาประมาณ 20 นาฬิกา นางสาว ด. โจทก์ร่วมที่ 1 นาง ส. และนางสาว ธ. มาที่สถานีตำรวจแจ้งว่าจำเลยได้กระทำความผิดต่อโจทก์ร่วมที่ 1 และนางสาว ธ. จำเลยอ้างว่าเป็นผู้กำกับการแสดงได้ใช้โอกาสในขณะที่ถ่ายทำโพรไฟล์ของโจทก์ร่วมที่ 1 อยู่ในห้องเพียงลำพัง จำเลยได้ใช้นิ้วสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของโจทก์ร่วมที่ 1 สอดคล้องกับที่โจทก์ร่วมที่ 1 เบิกความว่า นางสาว ด. พาโจทก์ร่วมที่ 1 ไปร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจภูธรปากเกร็ด ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า โจทก์ร่วมที่ 1 เป็นผู้ร้องทุกข์เองโดยมีนางสาว ด. เป็นผู้พาโจทก์ร่วมที่ 1 ไปร้องทุกข์ โจทก์ร่วมที่ 2 จึงไม่ใช่เป็นผู้ร้องทุกข์ การร้องทุกข์มิใช่เป็นการทำนิติกรรม โจทก์ร่วมที่ 1 จึงกระทำเองได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม เมื่อโจทก์ร่วมที่ 1 ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลย และได้ให้การไว้ในฐานะผู้กล่าวหา จึงฟังได้ว่าโจทก์ร่วมที่ 1 ได้ร้องทุกข์ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา และความผิดฐานพาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจารโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว พนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 121 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยมาดังกล่าวศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมข้อนี้ฟังขึ้น เมื่อฟังได้ว่าความผิดทั้งสองฐานได้มีการร้องทุกข์โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่โจทก์ร่วมทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทำหน้าที่เป็นครูฝึกการแสดงให้โจทก์ร่วมที่ 1 โจทก์ร่วมที่ 1 มีฐานะเป็นศิษย์อยู่ในความดูแลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 281 จึงเป็นความผิดอันยอมความไม่ได้ คดีไม่จำต้องมีการร้องทุกข์ จึงไม่ต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคำวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไป
มีปัญหาต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ต่อมาว่า จำเลยกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และความผิดฐานพาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจารหรือไม่ กับมีปัญหาต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อการอนาจารตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 วรรคสาม เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบรับฟังได้ว่า จำเลยนัดให้ผู้ปกครองพาเด็กนักเรียนมาถ่ายทำโพรไฟล์ที่วัดกู้ แต่กลับเปลี่ยนสถานที่เป็นที่บ้านของจำเลยโดยมีเจตนาซ่อนเร้นเพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใดที่ไม่ให้ผู้ปกครองรู้เห็น แล้วจำเลยข่มขืนกระทำชำเราด้วยการใช้นิ้วมือสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของโจทก์ร่วมที่ 1 และคำว่า "พา" หมายความว่านำไปหรือพาไป ส่วนคำว่า "พราก" หมายความว่า การพาไปหรือแยกเด็กออกไปจากอำนาจปกครองดูแล ทำให้อำนาจปกครองดูแลของบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเด็กถูกรบกวนหรือกระทบกระเทือนโดยบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเด็กไม่รู้เห็นยินยอม อันเป็นการมุ่งหมายเพื่อคุ้มครองอำนาจปกครองของบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลที่มีต่อเด็ก มิให้ผู้ใดล่วงละเมิดด้วยการพาไปหรือแยกเด็กออกจากความปกครองดูแล โดยไม่จำกัดว่าจะกระทำด้วยวิธีการใดและไม่คำนึงถึงระยะทางใกล้ไกล จำเลยอ้างการสร้างภาพยนตร์เพื่อให้ผู้ปกครองและเด็กหลงเชื่อโดยมีเจตนาแอบแฝงในการหาผลประโยชน์จากตัวเด็ก โดยอาศัยห้องชั้น 2 ของบ้านจำเลยแยกโจทก์ร่วมที่ 1 ออกจากความดูแลของโจทก์ร่วมที่ 2 อันเป็นกลวิธีที่ทำให้จำเลยอยู่กับโจทก์ร่วมที่ 1 ตามลำพังสองต่อสองและอาศัยความที่จำเลยเป็นผู้คัดนักแสดงกระทำต่อโจทก์ร่วมที่ 1 ตามความต้องการของจำเลยโดยโจทก์ร่วมที่ 1 ไม่อาจขัดขืนจำเลยได้ ถือได้ว่าจำเลยพาโจทก์ร่วมที่ 1 ไปและพรากโจทก์ร่วมที่ 1 ไปเสียจากโจทก์ร่วมที่ 2 การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นความผิดฐานพาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจาร และฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อการอนาจาร คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพรากโจทก์ร่วมที่ 1 ไปเพื่อการอนาจารจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 วรรคสาม การปรับวรรคความผิดเป็นหน้าที่ของศาล โจทก์จึงไม่จำต้องระบุวรรคความผิดไว้ท้ายคำฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 318 วรรคสาม จึงไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยอ้างมานั้น ข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวแตกต่างจากข้อเท็จจริงในคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น ส่วนฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ.2562 ออกใช้บังคับ โดยมาตรา 3 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (18) ของมาตรา 1 แห่งประมวลกฎหมายอาญา "(18) "กระทำชำเรา" หมายความว่า กระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำ โดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำล่วงล้ำอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น" มาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 276 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และให้ใช้ความใหม่แทน แต่ความใหม่มิได้บัญญัติให้การใช้สิ่งอื่นใดกระทำกับอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่นเป็นความผิดฐานกระทำชำเรา และมาตรา 8 ให้เพิ่มความในมาตรา 278 เป็นวรรคสองถึงวรรคสี่แห่งประมวลกฎหมายอาญา โดยมาตรา 278 วรรคสอง (ที่แก้ไขใหม่) บัญญัติว่า "ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นการกระทำโดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศหรือทวารหนักของบุคคลนั้น ผู้กระทำต้องระวางโทษ..." ดังนั้นจากบทบัญญัติของกฎหมายที่แก้ไขใหม่ดังกล่าว ยังคงบัญญัติว่าการกระทำโดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่นยังเป็นความผิดอยู่ มิได้เป็นเรื่องที่กฎหมายที่บัญญัติในภายหลังบัญญัติให้การกระทำเช่นนั้นไม่เป็นความผิดต่อไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคสอง เพียงแต่เปลี่ยนฐานความผิดจากกระทำชำเราเป็นความผิดฐานอนาจารโดยการล่วงล้ำเท่านั้น ซึ่งตามสภาพทางธรรมชาติในการกระทำความผิดของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 วรรคสอง (ที่แก้ไขใหม่) จึงเป็นคุณแก่จำเลยมากกว่าการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก (เดิม) การปรับบทความผิดของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 วรรคสอง (ที่แก้ไขใหม่) จึงเป็นคุณแก่จำเลยมากกว่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 แต่ความผิดฐานกระทำอนาจารโดยการล่วงล้ำตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 วรรคสอง (ที่แก้ไขใหม่) มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แปดหมื่นบาทถึงสี่แสนบาท เท่ากันกับความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก (เดิม) ระวางโทษตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่จึงไม่เป็นคุณแก่จำเลย ศาลต้องพิจารณาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่จำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคหนึ่ง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 วรรคสอง (ที่แก้ไขใหม่) โดยให้ลงโทษตามมาตรา 276 วรรคแรก (เดิม), 283 ทวิ วรรคแรก การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปีโดยใช้อวัยวะอื่นซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศของบุคคลนั้น โดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี รวมกับโทษฐานอื่นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนด เป็นจำคุก 6 ปี 8 เดือน นับโทษจำคุกคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.1428/2561 ของศาลชั้นต้น ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่ 1 เป็นเงิน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ