โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 91, 288, 371, 376 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นาย ช. ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2561 (ที่ถูกวันที่ 15 ธันวาคม 2560) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุกคนละ 10 ปี ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกคนละ 6 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 6 เดือน และฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 9 วัน ทางนำสืบของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น คงจำคุกคนละ 6 ปี 8 เดือน ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงจำคุกคนละ 4 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงจำคุกคนละ 4 เดือน ฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 วัน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 ปี 16 เดือน 6 วัน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 ปี 16 เดือน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้อง 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2560 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องและจำเลยที่ 1 ประกอบอาชีพค้าขายโคเช่นเดียวกัน ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง โคของนายดาวลอย คลอดลูกแล้วตาย นายดาวลอยโทรศัพท์ไปถามผู้ร้องว่าจะซื้อซากโคหรือไม่ ให้รีบไปดู นายดาวลอยรอนานแล้วแต่ผู้ร้องยังไม่มาและซากโคเริ่มขึ้นอืด นายดาวลอยจึงไปบอกขายซากโคแก่จำเลยที่ 1 ขณะเดียวกันนางแว่นรัตน์ ภริยานายดาวลอยโทรศัพท์แจ้งนายดาวลอยว่าผู้ร้องตกลงซื้อซากโคจากนางแว่นรัตน์แล้วในราคา 20,000 บาท นายดาวลอยจึงกลับบ้านพบผู้ร้อง นายสัญชัย และนายอรรถพล แล้วนายดาวลอยออกไปตามรถคีบอ้อยเพื่อไปคีบซากโคซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นรถอีแต๋น ต่อมาขณะผู้ร้อง นายสัญชัย และนายอรรถพลกำลังนำซากโคขึ้นรถอีแต๋นจำเลยทั้งสองกับพวกขับรถยนต์ไปจอดที่ถนนหน้าบ้านที่เกิดเหตุ จากนั้นจำเลยทั้งสองใช้วัตถุรูปทรงคล้ายปืนเล็งไปยังผู้ร้อง แต่กระสุนปืนไม่ลั่น นายดาวลอยเข้าห้ามและพาจำเลยทั้งสองออกไปหน้าบ้านที่เกิดเหตุ ส่วนผู้ร้อง นายสัญชัย และนายอรรถพลพากันไปหลบในป่าอ้อยใกล้ที่เกิดเหตุ ขณะที่หลบในป่าอ้อยมีเสียงดังคล้ายเสียงปืนขึ้น 1 ครั้ง หลังจากนั้นประมาณ 10 นาที นายดาวลอยไปบอกว่าเหตุการณ์สงบแล้ว ผู้ร้อง นายสัญชัย และนายอรรถพลจึงขับรถอีแต๋นออกไปจากที่เกิดเหตุ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 หรือไม่ สำหรับความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร และฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองแต่ละกระทงไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้กระทำผิด เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองเพียงว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีประจักษ์พยานสี่ปากเบิกความสอดคล้องต้องกันยืนยันว่า จำเลยทั้งสองคือคนร้ายที่ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้ร้องแต่กระสุนปืนไม่ลั่น แม้ขณะเกิดเหตุจะเป็นเวลากลางคืน แต่ได้ความจากประจักษ์พยานทั้งสี่ปากดังกล่าวตรงกันว่า บริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างจากไฟหน้ารถคีบอ้อยและแสงไฟจากคอกโคสามารถมองเห็นได้ชัดเจน สอดรับกับข้อเท็จจริงที่พันตำรวจโทภูวดล พนักงานสอบสวนจัดทำแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุไว้ จึงเชื่อว่าบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างเพียงพอให้มองเห็นเหตุการณ์ได้ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ร้องรู้จักกับจำเลยทั้งสองมาก่อน ส่วนนายดาวลอยเป็นญาติจำเลยทั้งสอง จึงเชื่อว่าจดจำจำเลยทั้งสองได้ไม่ผิดพลาด เมื่อประจักษ์พยานทั้งสี่ปากดังกล่าวไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสองมาก่อน จึงไม่มีเหตุให้ระแวงว่าจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยทั้งสองให้ต้องรับโทษ และเชื่อว่าเบิกความไปตามความเป็นจริง ส่วนที่ประจักษ์พยานทั้งสี่ปากดังกล่าวเบิกความแตกต่างกันบ้างก็เป็นพลความ มิใช่ข้อสาระสำคัญที่จะทำให้คำเบิกความของพยานโจทก์เหล่านั้นมีน้ำหนักลดน้อยลงแต่อย่างใด นอกจากที่กล่าวแล้วโจทก์ยังมีพันตำรวจโทภูวดลเป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า หลังเกิดเหตุไม่นาน ผู้ร้อง นายดาวลอย นายสัญชัย และนายอรรถพลให้การแก่พยานว่า จำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายรายนี้พร้อมกับชี้ยืนยันภาพถ่ายจำเลยทั้งสองไว้ อันทำให้คำเบิกความของประจักษ์พยานทั้งสี่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ส่วนที่จำเลยทั้งสองนำสืบต่อสู้ว่า ผู้ร้องใช้มีดเป็นอาวุธจี้จำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองจึงใช้อาวุธปืนบีบีกันเล็งและขู่ไม่ให้ผู้ร้องทำร้ายจำเลยที่ 1 นั้น ก็เป็นการง่ายแก่การกล่าวอ้าง ทั้งหากเป็นความจริงก็เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองทราบดีอยู่แล้วและเป็นสาระสำคัญในการต่อสู้คดีของจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองกลับมิได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนเพื่อยืนยันถึงสาเหตุในการกระทำความผิดของตนเสียตั้งแต่โอกาสแรก ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสองเพิ่งยกข้อเท็จจริงดังกล่าวและนำอาวุธปืนบีบีกันไปส่งมอบให้แก่พนักงานสอบสวนในการให้การครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นเวลาหลังเกิดเหตุแล้วนานถึงสองเดือนเศษ จึงเป็นพิรุธไม่น่าเชื่อถือและไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้ร้อง แต่กระสุนปืนไม่ลั่น ดังนั้น ตามพฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงโดยสภาพยิงผู้ร้องในระยะใกล้ จำเลยทั้งสองย่อมเล็งเห็นผลได้ว่ากระสุนปืนอาจถูกผู้ร้องถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่า และเมื่อจำเลยทั้งสองลงมือกระทำความผิดไปโดยตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผลเนื่องจากกระสุนปืนไม่ลั่น ผู้ร้องจึงไม่ถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานดังกล่าวนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้ยกคำร้องขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าสินไหมทดแทน โดยอ้างว่าไม่เกิดความเสียหายใดแก่ผู้ร้องนั้น เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ร้อง จำเลยทั้งสองไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้ง จำเลยทั้งสองย่อมไม่อาจยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ เพราะเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 6 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน