โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกที่หลบหนีร่วมกันมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ ๑๐,๘๗๓ กรัม กับมีฝิ่นสุก ๑๙,๕๐๐ กรัม ไว้ในความครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย และจำเลยกับพวกได้บังอาจพยายามส่งเฮโรอีนและฝิ่นดังกล่าวออกนอกราชอาณาจักร เพื่อจำหน่าย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๔๖๕ มาตรา ๔ ทวิ ๒๐ วรรคสี่ , ๒๐ ตรี ตามที่มีแก้ไขพระราชบัญญัติฝิ่น พ.ศ. ๒๔๗๒ มาตรา ๖,๙,๕๑,๕๓ ตามที่แก้ไข และริบเฮโรอีน ฝิ่นและกระเป๋าเดินทางของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๔๖๕ มาตรา ๒๐ ตรี แก้ไข (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๔ มาตรา ๗ และผิดฐานพยายามนำเฮโรอีนออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายตามมาตรา ๒๐ วรรคสี่ แก้ไข(ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๔ มาตรา ๕ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐,๕๒ อันเป็นความผิดหลายบทกระทงหนึ่ง ให้ลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดฐานพยายามนำเฮโรอีนออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายอันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ไว้ตลอดชีวิต กับมีความผิดฐานมีฝิ่นไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติฝิ่น พ.ศ. ๒๔๗๒ มาตรา ๕๓ แก้ไข (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๕ และผิดฐานพยายามนำฝิ่นออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายตามมาตรา ๕๑ แก้ไข (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๓ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐ อันเป็นความผิดหลายบทอีกระทงหนึ่งให้ลงโทษจำเลยฐานมีฝิ่นไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาติอันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ มีกำหนด ๑๐ ปี เมื่อเปลี่ยนโทษจำคุกในความผิดกระทงแรก เป็นโทษจำคุก ๕๐ ปีตามมาตรา ๙๑ แล้ว รวมเป็นโทษจำคุก ๖๐ ปี เฮโรอีน ฝิ่นและกระเป๋าเดินทางของกลางให้ริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยกับพวกร่วมกันมีเฮโรอีนและฝิ่นของกลางไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมายจริง ปัญหาต่อไปว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยามส่งเฮโรอีนและฝิ่นของกลางออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายหรือไม่ ได้พิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบแล้ว เห็นว่า ก่อนที่พนักงานจะไปดักตรวจค้นพบของกลาง เจ้าพนักงานได้สืบสวนถึงพฤติการณ์ของจำเลยกับพวก จนปรากฏชัดว่า จำเลยกับพวกร่วมกันมีและส่งยาเสพติดให้โทษทางเครื่องบินมาแล้วหลายครั้ง ฉะนั้นในวันเกิดเหตุเมื่อนายจำเนียร พยานโจทก์รับแจ้งจากสายลับว่าจำเลบยกับพวกะส่งยากเสพติดให้โทษออกนอกราชอาณาจักรอีก นายจำเนียรกับพวกซุ่มดักรออยู่ในบริเวณที่จอดรถชั้นล่างของห้องโดยสารขาออกของทางอากาศยานดอนเมืองที่จำเลยเคยนำรถมาจอด จำเลยก็ได้ขับรถเก๋งมาจอดในบริเวณที่จอดรถดังกล่าว จึงได้ทำการตรวจค้นและพบ เฮโรและ ฝิ่นของกลางตามที่สืบทราบมาจริง ดังนี้เป็นว่าการจับกุมดังนี้มิได้กระทำโดยบังเอิญ แต่สืบทราบมาก่อนแล้ว และเมื่อพิจารณาประกอบกับปริมาณของเฮโรอีนและฝิ่นของกลางที่จับได้ตลอดสถานที่ที่นำมาแล้ว ยิ่งบ่งชัดว่าจำเลยกับพวกมีเฮโรอีนและฝิ่นของกลางมีเจตนาส่งออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายนั้นเอง อีกทั้งโดยตามพฤติการณ์ก็น่าเชื่อถือว่า จำเลยกับพวกได้นัดแนะกันมาก่อนแล้วด้วย เพียงแต่รอนำของกลางนี้ขึ้นไปที่ห้องผู้โดยสารขาออกชั้นบนเพื่อส่งออกทางเครื่องบินเท่านั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าการกระทำของจำเลยกับพวกเข้าขั้นลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผลเพราะแจ้งพนักงานจับกุมเสียก่อน จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามส่งเฮโรอีนและฝิ่นออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายตามี่โจทก์ฟ้อง
พยานจำเลยไม่อาจหักล้างพยานโจทก์ได้
ปัญหาต่อไปว่า เฉพาะความผิดพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ โจทก์อ้างบทลงโทษฐานมีไว้ซึ่งยาเสพติดให้โทษไว้ในความครอบครองตามมาตรา ๒๐ ตรี มาเพียงบทเดียว ไม่ได้อ้างบทลงโทษฐานส่งออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายตามมาตรา ๒๐ มาด้วย ดังนี้ศาลจะลงโทษจำเลยข้อหาพยายามส่งออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายได้หรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๖) บัญญัติว่า คำฟ้องจะต้องอ้างมาตราในกฎหมาย ซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด ซึ่งคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องมาแจ้งชัดว่า จำเลยบังอาจส่งเฮโรอีนของกลางออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย และอ้างบทมาตรา ๔ ทวิ อันเป็นบทห้ามกระทำผิดมาด้วย ดังนี้แม้ไม่อ้างบทลงโทษจำเลยตามมาตรา ๒๐ วรรคสี่ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ ด้วยเหตุดังวินิจฉัย ที่ศาลล่างพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน