โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138, 140, 289, 371, 80, 83 และ 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72 และ 72 ทวิ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138 วรรคสอง 140 วรรคสาม และมาตรา 289(2) ประกอบมาตรา 80 การกระทำเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(2) ประกอบมาตรา 52 และ 80ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90จำคุกตลอดชีวิต กระทงหนึ่ง และมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7 และ 72 จำคุก 2 ปี กระทงหนึ่ง และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง และ 72 ทวิ วรรคสองซึ่งถือเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่งและ 72 ทวิ วรรคสอง จำคุก 2 ปี อีกกระทงหนึ่ง คำเบิกความรับสารภาพของจำเลยในชั้นพิจารณาสำหรับข้อหาความผิดฐานมีและพกพาอาวุธปืนโดยฝ่าฝืนกฎหมายเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษในความผิดข้อหาดังกล่าวให้หนึ่งในสาม คงจำคุกรวม 2 กระทง 2 ปี 8 เดือน และเมื่อรวมโทษทุกกระทงความผิดแล้ว คงจำคุกตลอดชีวิต
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(2) ประกอบมาตรา 80 โดยคงจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่หรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่สิบตำรวจตรีสมุทรซึ่งไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อนเบิกความว่า ขณะที่จำเลยกับพวกลงจากรถยนต์แท็กซี่ สิบตำรวจตรีสินสมุทรกับพวกได้แสดงตนว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจขอตรวจค้นตัวจำเลยกับพวกเนื่องจากสงสัยว่าจำเลยกับพวกเป็นคนร้าย แต่จำเลยกับพวกไม่ยอมให้ตรวจค้นและวิ่งหนีไปทันที แสดงว่าจำเลยกับพวกมีพิรุธน่าสงสัยจริงเมื่อสิบตำรวจตรีสินสมุทรกับพวกวิ่งไล่ตามจำเลยไปสิบตำรวจตรีสินสมุทรเบิกความว่า จำเลยได้หันหน้ามาแล้วใช้อาวุธปืนยิง 1 นัด ในชั้นสอบสวนสิบตำรวจตรีสินสมุทรก็ให้การยืนยันตามสำเนาคำให้การชั้นสอบสวนของพยานเอกสารหมาย จ.4 ว่า ขณะวิ่งไล่ตามจำเลยไปห่างกันประมาณ 10 เมตร จำเลยได้เอี้ยวตัวหันหน้ามาทางพยานแล้วใช้อาวุธปืนยิงใส่พยานโดยใช้มือขวาถืออาวุธปืนเล็งมาที่พยาน นอกจากนี้โจทก์ยังมีสิบตำรวจตรีประสิทธิ์เบิกความสนับสนุนว่า พยานเห็นจำเลยเอี้ยวตัวกลับมาและใช้อาวุธปืนยิงพยานและสิบตำรวจตรีสินสมุทรจริงและในชั้นสอบสวนตามสำเนาบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของพยานเอกสารหมาย จ.6 พยานก็ให้การว่า พยานเห็นจำเลยเล็งอาวุธปืนมาทางสิบตำรวจตรีสินสมุทรแล้วใช้อาวุธปืนยิงแต่กระสุนปืนไม่ถูกผู้ใด พยานโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานของรัฐซึ่งได้กระทำการไปตามหน้าที่ราชการ เชื่อว่าพยานทั้งสองเบิกความไปตามความสัตย์จริงจึงฟังได้ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนของกลางยิงมาทางสิบตำรวจตรีสินสมุทรและสิบตำรวจตรีประสิทธิ์จริงแม้จำเลยไม่ได้หยุดวิ่งขณะหันกลับมาใช้อาวุธปืนยิงไป 1 นัดแต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงมาทางเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ขณะวิ่งไล่ตามจำเลยไปจำเลยย่อมเล็งเห็นผลหรือคาดหมายได้ว่ากระสุนปืนที่จำเลยยิงไปนั้นหากถูกเจ้าพนักงานคนใดคนหนึ่งที่วิ่งตามมา เจ้าพนักงานดังกล่าวย่อมถึงแก่ความตายได้การกระทำของจำเลย จึงเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ และจำเลยได้ลงมือกระทำไปโดยตลอดแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผลเนื่องจากกระสุนปืนไม่ถูกผู้ใด จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น