โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1443/2551, 1444/2551, 202/2552, 203/2552, 204/2552, 205/2552 และ 206/2552 ของศาลชั้นต้น และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 43,150 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา นางถนอมศรี ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต และผู้เสียหายขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนคืนเงินจำนวน 43,188 บาท (ที่ถูก 43,150 บาท) พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 43,150 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 (ที่ถูก มาตรา 352 วรรคแรก) จำคุก 1 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 15 วัน ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 43,150 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1588/2551, 1589/2551, 1509/2552 และ 1501/2552 ของศาลชั้นต้น สำหรับคำขอให้นับโทษต่อจากโทษคดีอาญาหมายเลขดำที่ 202/2552, 203/2552, 204/2552, และ 205/2552 ของศาลชั้นต้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลยังมิได้มีคำพิพากษา จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ยกคำขอส่วนนี้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า การที่ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 43,150 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม โดยไม่ให้โจทก์ร่วมเสียค่าธรรมเนียมชอบหรือไม่นั้น เห็นว่า คดีนี้พนักงานอัยการมีคำขอให้จำเลยคืนเงินจำนวน 43,150 บาท แก่ผู้เสียหาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 ต่อมาโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยคืนเงินจำนวน 43,188 บาท (ที่ถูก 43,150 บาท) พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวน 43,150 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วมแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 ซึ่งต้องตามที่ มาตรา 44/1 วรรคสาม บัญญัติว่า ในกรณีที่พนักงานอัยการได้ดำเนินการตามความในมาตรา 43 แล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องตามวรรคหนึ่งเพื่อเรียกทรัพย์สินหรือราคาทรัพย์สินอีกไม่ได้ ดังนี้ โจทก์ร่วมจึงยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยคืนเงินจำนวน 43,150 บาท อีกไม่ได้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับคำร้องของโจทก์ร่วมในส่วนนี้จึงเป็นการไม่ชอบ กรณีจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ร่วมต้องเสียค่าธรรมเนียมในเงินจำนวน 43,188 บาท (ที่ถูก 43,150 บาท) หรือไม่ อย่างไรก็ตามดอกเบี้ยของเงินจำนวน 43,150 บาท ไมใช่ทรัพย์สินหรือราคาที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิด แต่เป็นค่าเสียหายในทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลย เพราะฉะนั้นพนักงานอัยการจะมีคำขอเรียกค่าดอกเบี้ยแทนโจทก์ร่วมไม่ได้ โจทก์ร่วมจึงยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 43,150 บาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 วรรคหนึ่งได้ ซึ่งตามมาตรา 253 วรรคหนึ่ง มิให้เรียกค่าธรรมเนียมจากโจทก์ร่วมเว้นแต่ในกรณีที่ศาลเห็นว่าผู้เสียหายเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนสูงเกินสมควร หรือดำเนินคดีโดยไม่สุจริต ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้เสียหายชำระค่าธรรมเนียมทั้งหมดหรือบางส่วนได้ ดังนี้ โจทก์ร่วมจึงไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมสำหรับการขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนดอกเบี้ยดังกล่าว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีอาญาหมายเลขดำที่ 201/2552 ถึง 206/2552 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า แม้ว่าวันเวลาเกิดเหตุของคดีนี้และคดีทั้งหกสำนวนเป็นเวลาเดียวกันดังที่จำเลยฎีกาแต่ตามฎีกาของจำเลยก็ระบุว่าผู้เสียหายในคดีทั้งเจ็ดสำนวนเป็นคนละคนกัน จึงเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระ มิใช่เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่ซ้ำซ้อนกับคดีอาญาหมายเลขดำที่ 201/2552 ถึง 206/2552 ของศาลชั้นต้น ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องของโจทก์ร่วมเฉพาะส่วนที่ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยคืนเงินจำนวน 43,188 บาท (ที่ถูก 43,150 บาท) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6